[ รายละเอียด ] อย่างที่ทราบว่าหลวงพ่อท่านได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นในปี ๒๔๘๒ แต่ต้องประสบกับภาวะสงครามจึงเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง หลวงพ่อไม่ได้ละความพยายามจนแล้วเสร็จ ขอพระราชทานเขตวิสุงคามสีมาได้ในปี ๒๔๙๕ (ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๖๙ ตอนที่ ๒ หน้า ๙๙๓ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๕) หลังจากที่ท่านมรณภาพประมาณ ๕ เดือน ต่อมาหลวงพ่อประเดิม โกมโล(วัดเพลงวิปัสสนา กทม.) ได้ร่วมกับศาสนิกชนในการจัดผูกพัทธสีมาอุโบสถในปลายปี ๒๕๐๘
ในครั้งนั้น หลวงพ่อประเดิมท่านได้เป็นประธานสร้างเหรียญที่ระลึกหลวงพ่อทอง โดยมีลักษณะเหรียญด้านหน้าและด้านหลังผิดกับเหรียญรุ่น ๒๔๘๖ เล็กน้อย(เพื่อเป็นตำหนิ) ด้านหลังเขียนบอกปีที่สร้างคือ ๒๕๐๘ และเหรียญมีขนาดบางกว่า เป็นเนื้อทองแดงและมีจำนวนน้อยมาก ต่อมาพระสมุห์สว่าง ถาวรจิตฺโต เจ้าอาวาสในขณะนั้น เห็นว่าคณะศิษย์จำนวนมากยังไม่มีเหรียญที่ระลึกและหาทุนสมทบสร้างอาคารเรียนโรงเรียนวัดดอนสะท้อน จึงสร้างเหรียญเพิ่มอีกโดยเป็นเนื้อกะหลั่ยทองจำนวน ๒,๕๐๐ เหรียญ รูปเหรียญมีลักษณะเหมือนกันกับเนื้อทองแดงทุกประการ พิธีใหญ่ได้เกจิอาจาร์ยในยุคนั้นเสกมากมายอาทิพ่อหลวงมุม หลวงพ่อยิ่ง วัดโพธิเกษตร หลวงพ่อหีต วัดเชิงคีรี และเกจิทองถิ่นอีกมากครับ เพื่อการศึกษาครับ เพื่อนฝากมาบอก ว่าประสบการณ์ดีหนักแล ใครอยากได้รุ่นแรกแต่หาไม่ได้ใช้รุ่นนี้แทนได้น๊ะพี่บ่าวน้องบ่าวเห๋อ
ประวัติหลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน
เป็นปกติวิสัยที่ชีวประวัติของพระมหาเถระเกจิอาจารย์ทั่วไป จะมีหลายฉบับหลายที่มาเพราะคนสมัยก่อนไม่นิยมที่จะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นไปได้ว่าในสมัยนั้นการหากระดาษมาบันทึกก็หายากเต็มที แม้แต่นักเรียนก็ยังต้องใช้กระดานชนวนขีดเขียนแทน ซึ่งเมื่อเขียนเต็มหน้ากระดานแล้วก็ต้องลบทิ้งจึงจะเขียนใหม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกำลังทรัพย์ในการซื้อหา พูดได้ว่าเด็กสมัยโน้นต้องรักษากระดานชนวนให้ดีอย่าเผลอทำตกเป็นอันขาด เพราะมันแตกง่ายแต่การจะได้มาใหม่สักอันมันยากซะเหลือเกิน บ้านที่มีฐานะดีเท่านั้นที่สามารถมีกระดานชนวนได้หลายๆแผ่น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่พงศาวดารหรือเรื่องราวในอดีต โดยส่วนมากจะเล่ากันต่อๆมา จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก รุ่นลูกสู่รุ่นหลาน แล้วจึงมีการจดบันทึกในภายหลัง ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าประวัติเรื่องราวอาจจะคลาดเคลื่อนได้ ขึ้นอยู่กับมากหรือน้อยเท่านั้น
อย่างประวัติของหลวงพ่อทองก็เช่นเดียวกัน มีประวัติหลายฉบับที่คนรุ่นหลังได้จดบันทึกหรือเขียนขึ้น ซึ่งบางครั้งก็มีคลาดเคลื่อนไปบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นสาเหตุก็คือแหล่งที่มาของข้อมูลนั่นเอง แม้กระทั่งผู้เขียนเองก็ได้ประวัติหลวงพ่อจากหลายแหล่งที่มา แต่เมื่อนำคำบอกเล่ามาผนวกกับข้อมูลหลักฐานที่วัดดอนสะท้อนมีอยู่ จึงประวัติหลวงพ่อครั้งนี้ขึ้นเพื่อเผยแพร่ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน
ผู้เขียนได้ศึกษาจากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสมัยนั้น ซึ่งนับวันก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว บางท่านอายุเกินร้อยแล้วก็มี บางท่านมาอยู่ที่วัดตั้งแต่เด็กๆ บางท่านเป็นผู้ใกล้ชิดปรนนิบัติหลวงพ่อ บางท่านสมัยเป็นสามเณรได้เดินทางไปธุดงค์กับหลวงพ่อ บางท่านเป็นหลานเป็นเหลน (ลูกหลานของพี่ชายพี่สาว เพราะหลวงพ่อไม่เคยมีครอบครัว)
จากคำบอกเล่าและหลักฐานที่มี จึงขอสรุปประวัติได้พอสังเขปว่า หลวงพ่อทอง ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๑๗ ตรงกับปีระกา (ซึ่งมีหลักฐานเป็นรูปปั้นไก่สลักด้วยเลข พ.ศ. ๔๑๗ อย่างชัดเจน ที่ลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยนั้นได้สร้างถวาย ปัจจุบันยังอยู่คู่กับรูปเหมือนหลวงพ่อบนมณฑป) หลวงพ่อบ้านปลายอวนหรือปลายยวน หมู่ที่ ๘ ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช โยมบิดาชื่อนายสังข์ พรหมสุวรรณ์ โยมมารดาชื่อนางล่อง โดยมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด ๗ คน หลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง
รายชื่อพี่น้องทั้งหมด มีดังต่อไปนี้..
พี่สาวคนโตชื่อ หมึก ต่อมาชื่อ นางทองนวล นายรอด นางส้มแก้ว นางส้มแป้น นายเฟืองและสุดท้องคือหลวงพ่อ
เด็กชายทอง เกิดในครอบครัวชาวนาฐานะพอปานกลาง การศึกษาเบื้องต้นเหมือนเด็กชนบททั่วไป ที่ต้องไปเสาะแสวงหาความรู้ที่วัดต่างๆเด็กชายทองก็เช่นเดียวกัน ย่างเข้าวัยหนุ่มหลังจากเสร็จฤดูทำนาแล้ว ได้ชวนเพื่อนไปร่ำเรียนวิชาเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว ตามลักษณะนิสัยของหนุ่มๆสมัยนั้น และเต็มใจบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาที่วัดอินทคีรี หมู่ที่ ๗ ตำบลพรหมโลก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก และอุปสมบทที่วัดนี้ได้รับฉายาว่า พุทฺธสุวณฺโณ แปลว่า ผู้มีผิวพรรณดีดั่งพระพุทธเจ้า โดยอยู่จำพรรษาอยู่ประมาณ ๒ พรรษา หลังจากนั้นได้ขออนุญาตอาจารย์เพื่อจาริกออกหาความรู้เพิ่มเติม จึงมาเรียนอยู่ที่วัดพระบรมธาตุอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ๒ พรรษา แล้วเดินทางไปยังจังหวัดพัทลุงเพื่อหาสำนักเรียนต่อไป ที่พัทลุงหลวงพ่อได้มาฝากตัวกับพระอาจารย์จันทร์ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ที่ดังขณะนั้น อยู่พำนักและศึกษาวิชากับท่านพอสมควร พระอาจารย์จันทร์จึงฝากหลวงพ่อให้เป็นศิษย์เรียนวิชาต่อกับพระอาจารย์ทอง (ครูทองเฒ่า) วัดเขาอ้อ ซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมิกของพระอาจารย์จันทร์
ที่วัดเขาอ้อหรือสำนักเขาอ้อ อันเป็นสำนักเรียนที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งจังหวัดพัทลุง หลวงพ่อได้สหธรรมิกที่แก่พรรษากว่า คือ หลวงพ่อเอียด อริยวํโส วัดคงคาวงศ์ (พระอาจารย์ของขุนพันธรักษ์ราชเดช) และเป็นสหธรรมิกที่รู้ใจกันมากที่สุด เห็นได้จากระยะหลังจากหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดดอนสะท้อน ก็เดินทางไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเอียดอยู่เป็นนิตย์ และได้ทดสอบวิชาที่เรียนมาด้วยกันบ่อยๆ
หลังจากที่หลวงพ่อเล่าเรียนวิชาจากสำนักเขาอ้อจนแตกฉานแล้ว ตั้งใจเดินทางออกธุดงค์ขึ้นไปภาคกลาง โดยเดินทางตามทางรถไฟมาเรื่อย จนมาถึงจังหวัดหลังสวน (ปัจจุบันคืออำเภอหลังสวน) หลวงพ่ออยู่จำที่วัดดอนชัยประมาณ ๒ พรรษา ระหว่างนี้ได้รู้จักและแลกเปลี่ยนวิชาที่ร่ำเรียนมากับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป เช่น หลวงพ่อพัน วัดในเขา, หลวงพ่อจีต วัดถ้ำเขาพลู, หลวงพ่อพลอย วัดเชิงคีรี เป็นต้น
จากนั้นหลวงพ่อออกเดินทางมาถึงอำเภอสวี ได้แวะพักจำที่วัดพระธาตุสวี จึงออกเดินทางต่อมายังวัดดอนสะท้อน ระหว่างที่พักจำอยู่ที่นี่หลวงพ่อได้สงเคราะห์ชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก ด้วยพุทธคุณที่ท่านได้ร่ำเรียนมาทุกครั้งไป จนชาวบ้านนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนสะท้อน นับต่อจากหลวงพ่อพันซึ่งท่านได้ไปสร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า วัดหน้าเมรุ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก (ปัจจุบันยังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่)
ระหว่างที่หลวงพ่ออยู่ที่นี่ ด้วยสติปัญญาและพุทธคุณที่หลวงพ่อมีอยู่ ได้ทำนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง สร้างศาสนสถานหลายอย่างและยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน ทั้งเป็นกำลังหลักในการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุสวี รวมทั้งตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา(ประชาบาล)ขึ้นครั้งแรกที่นี่ เข้าใจว่าหลวงพ่อคงมีเจตนาที่ดีและความเมตตาแก่เด็กชนบทที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าที่ควร และเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนที่ ๖ ของจังหวัดชุมพร (ป.ชพ.๖) ปัจจุบันได้ทำการรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว
ด้วยอำนาจพุทธคุณ หลวงพ่อเป็นที่รู้จักในฐานะเกจิอาจารย์สายใต้ ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกหลายจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครก็หลายครั้ง จนเป็นสุดยอดเกจิอาจารย์ ๑๐๘ แห่งแผ่นดินสยาม มีศิษยานุศิษย์จำนวนมากหลายฐานะหลายอาชีพ
หลวงพ่อท่านมรณภาพลงที่วัดดอนสะท้อน เมื่อตอนสายของวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๕ ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔ รวมสิริอายุ ๗๘ ปี ในงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อได้มีญาติโยมศิษยานุศิษย์มาร่วมอย่างล้นหลาม เสร็จงานแล้วต่างก็แย่งกันเก็บอัฏฐิ(กระดูก)หลวงพ่อเพื่อนำไปบูชาและระลึกถึง รวมทั้งให้ช่างปั้นปูนฝีมือดีจากบ้านทุ่งคาใช้นามศิลปินว่า ก.ทุ่งคา ปั้นรูปเหมือนหลวงพ่อเพื่อไว้กราบไหว้สักการะ ตอนนี้รูปปั้นเหมือนหลวงพ่อประดิษฐานอยู่บนมณฑปตรีมุข ที่สร้างถวายโดยหลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน และจัดงานรำลึกหลวงพ่อทุกวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔ ของทุกปี
เหรียญห้อยคอ เป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องรางของขลังที่ชายชาตรีส่วนมากต้องมีไว้กับตัว จะด้วยมีไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง ด้วยอำนาจพุทธคุณของเหรียญนั้นๆ ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าแคล้วคลาดปลอดภัย หรือมีสะสมไว้เพราะความชอบ ผู้ชายส่วนมากจะนิยมชมชอบพระเครื่อง บ้างก็ชอบเพราะความสวยงามในการออกแบบ ชอบในความเป็นของเก่าน่าสะสม หรือชอบเพราะตนเองมีความเคารพศรัทธาในพระเกจิท่านนั้นๆ จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ สรุปว่าสำหรับคนที่ชอบพระเครื่องแล้ว ถึงไม่มีไว้ในครอบครองก็ขอให้ได้ชมสักครั้ง เท่านี้ก็อิ่มตาอิ่มใจกันแล้ว สำหรับเหรียญของหลวงพ่อทองนั้น ได้เป็นที่รู้จักไม่เฉพาะแต่นักสะสมพระเครื่องในภาคใต้เท่านั้น แต่เป็นที่ติดตามเสาะหาของเซียนพระเครื่องทั่วประเทศด้วย |