เว็บลิ้งค์ชมรมต่างๆ

เว็บไซต์วัดเกจิดังในสยาม
วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี
วัดหนองป่าพง จ. อุบลฯ
วัดเขาแหลม จ. สระแก้ว
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
วัดหัวป่า อ. ระโนด จ. สงขลา
วัดแก้วโกรวาราม จ. กระบี่
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
หลวงสมชาย วัดเขาสุกิม
ป้อนหมายเลขสิ่งของ


***พิมพ์หมายเลขสิ่งของจำนวน 13 หลัก

รายละเอียดเพิ่มเติม

  หน้าหลัก  :  อดีตสู่ปัจจุบัน  :  เว็บบอร์ดชมรม  :  ตารางประกวดพระ  :  สาระน่ารู้  :  เล่าสู่กันฟัง  :  ติดต่อเรา
ประวัติเกจิอาจารย์ดัง: หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน
ประวัติหลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน
18-04-2010 Views: 41402

หลวงพ่อทอง พุทฺธสุวณฺโณ

            ป็นปกติวิสัยที่ชีวประวัติของพระมหาเถระเกจิอาจารย์ทั่วไป  จะมีหลายฉบับหลายที่มาเพราะคนสมัยก่อนไม่นิยมที่จะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร  เป็นไปได้ว่าในสมัยนั้นการหากระดาษมาบันทึกก็หายากเต็มที  แม้แต่นักเรียนก็ยังต้องใช้กระดานชนวนขีดเขียนแทน  ซึ่งเมื่อเขียนเต็มหน้ากระดานแล้วก็ต้องลบทิ้งจึงจะเขียนใหม่ได้  อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องกำลังทรัพย์ในการซื้อหา  พูดได้ว่าเด็กสมัยโน้นต้องรักษากระดานชนวนให้ดีอย่าเผลอทำตกเป็นอันขาด    เพราะมันแตกง่ายแต่การจะได้มาใหม่สักอันมันยากซะเหลือเกิน  บ้านที่มีฐานะดีเท่านั้นที่สามารถมีกระดานชนวนได้หลายๆแผ่น  จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่พงศาวดารหรือเรื่องราวในอดีต  โดยส่วนมากจะเล่ากันต่อๆมา  จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูก  รุ่นลูกสู่รุ่นหลาน  แล้วจึงมีการจดบันทึกในภายหลัง  ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าประวัติเรื่องราวอาจจะคลาดเคลื่อนได้  ขึ้นอยู่กับมากหรือน้อยเท่านั้น

      ย่างประวัติของหลวงพ่อทองก็เช่นเดียวกัน  มีประวัติหลายฉบับที่คนรุ่นหลังได้จดบันทึกหรือเขียนขึ้น  ซึ่งบางครั้งก็มีคลาดเคลื่อนไปบ้าง  ทั้งนี้ทั้งนั้นสาเหตุก็คือแหล่งที่มาของข้อมูลนั่นเอง  แม้กระทั่งผู้เขียนเองก็ได้ประวัติหลวงพ่อจากหลายแหล่งที่มา  แต่เมื่อนำคำบอกเล่ามาผนวกกับข้อมูลหลักฐานที่วัดดอนสะท้อนมีอยู่  จึงประวัติหลวงพ่อครั้งนี้ขึ้นเพื่อเผยแพร่ให้เกิดความเข้าใจตรงกัน

            ผู้เขียนได้ศึกษาจากคำบอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่  ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อสมัยนั้น  ซึ่งนับวันก็เหลือน้อยเต็มทีแล้ว  บางท่านอายุเกินร้อยแล้วก็มี  บางท่านมาอยู่ที่วัดตั้งแต่เด็กๆ  บางท่านเป็นผู้ใกล้ชิดปรนนิบัติหลวงพ่อ  บางท่านสมัยเป็นสามเณรได้เดินทางไปธุดงค์กับหลวงพ่อ  บางท่านเป็นหลานเป็นเหลน (ลูกหลานของพี่ชายพี่สาว เพราะหลวงพ่อไม่เคยมีครอบครัว)

              ากคำบอกเล่าและหลักฐานที่มี  จึงขอสรุปประวัติได้พอสังเขปว่า  หลวงพ่อทอง  ท่านเกิดเมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๔๑๗ ตรงกับปีระกา (ซึ่งมีหลักฐานเป็นรูปปั้นไก่สลักด้วยเลข พ.ศ. ๔๑๗ อย่างชัดเจน  ที่ลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยนั้นได้สร้างถวาย  ปัจจุบันยังอยู่คู่กับรูปเหมือนหลวงพ่อบนมณฑป)  หลวงพ่อบ้านปลายอวนหรือปลายยวน  หมู่ที่ ๘  ตำบลพรหมโลก  อำเภอพรหมคีรี  จังหวัดนครศรีธรรมราช  โยมบิดาชื่อนายสังข์ พรหมสุวรรณ์  โยมมารดาชื่อนางล่อง  โดยมีพี่น้องร่วมท้องเดียวกันทั้งหมด ๗ คน  หลวงพ่อเป็นคนสุดท้อง 

รายชื่อพี่น้องทั้งหมด มีดังต่อไปนี้..

พี่สาวคนโตชื่อ หมึก  ต่อมาชื่อ นางทองนวล นายรอด นางส้มแก้ว นางส้มแป้น นายเฟืองและสุดท้องคือหลวงพ่อ

              ด็กชายทอง  เกิดในครอบครัวชาวนาฐานะพอปานกลาง  การศึกษาเบื้องต้นเหมือนเด็กชนบททั่วไป  ที่ต้องไปเสาะแสวงหาความรู้ที่วัดต่างๆเด็กชายทองก็เช่นเดียวกัน  ย่างเข้าวัยหนุ่มหลังจากเสร็จฤดูทำนาแล้ว  ได้ชวนเพื่อนไปร่ำเรียนวิชาเพื่อเอาไว้ป้องกันตัว  ตามลักษณะนิสัยของหนุ่มๆสมัยนั้น  และเต็มใจบรรพชาเป็นสามเณรเพื่อศึกษาที่วัดอินทคีรี  หมู่ที่ ๗ ตำบลพรหมโลก  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก  และอุปสมบทที่วัดนี้ได้รับฉายาว่า “พุทฺธสุวณฺโณ” แปลว่า “ผู้มีผิวพรรณดีดั่งพระพุทธเจ้า”  โดยอยู่จำพรรษาอยู่ประมาณ ๒ พรรษา  หลังจากนั้นได้ขออนุญาตอาจารย์เพื่อจาริกออกหาความรู้เพิ่มเติม  จึงมาเรียนอยู่ที่วัดพระบรมธาตุอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ๒ พรรษา  แล้วเดินทางไปยังจังหวัดพัทลุงเพื่อหาสำนักเรียนต่อไป  ที่พัทลุงหลวงพ่อได้มาฝากตัวกับพระอาจารย์จันทร์ซึ่งเป็นเกจิอาจารย์ที่ดังขณะนั้น  อยู่พำนักและศึกษาวิชากับท่านพอสมควร  พระอาจารย์จันทร์จึงฝากหลวงพ่อให้เป็นศิษย์เรียนวิชาต่อกับพระอาจารย์ทอง (ครูทองเฒ่า) วัดเขาอ้อ  ซึ่งเป็นเพื่อนสหธรรมิกของพระอาจารย์จันทร์

              ที่วัดเขาอ้อหรือสำนักเขาอ้อ  อันเป็นสำนักเรียนที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งจังหวัดพัทลุง  หลวงพ่อได้สหธรรมิกที่แก่พรรษากว่า คือ หลวงพ่อเอียด อริยวํโส วัดคงคาวงศ์ (พระอาจารย์ของขุนพันธรักษ์ราชเดช)  และเป็นสหธรรมิกที่รู้ใจกันมากที่สุด  เห็นได้จากระยะหลังจากหลวงพ่อมาอยู่ที่วัดดอนสะท้อน  ก็เดินทางไปมาหาสู่กับหลวงพ่อเอียดอยู่เป็นนิตย์  และได้ทดสอบวิชาที่เรียนมาด้วยกันบ่อยๆ

                ลังจากที่หลวงพ่อเล่าเรียนวิชาจากสำนักเขาอ้อจนแตกฉานแล้ว  ตั้งใจเดินทางออกธุดงค์ขึ้นไปภาคกลาง  โดยเดินทางตามทางรถไฟมาเรื่อย  จนมาถึงจังหวัดหลังสวน (ปัจจุบันคืออำเภอหลังสวน)  หลวงพ่ออยู่จำที่วัดดอนชัยประมาณ ๒ พรรษา  ระหว่างนี้ได้รู้จักและแลกเปลี่ยนวิชาที่ร่ำเรียนมากับเพื่อนสหธรรมิกหลายรูป  เช่น หลวงพ่อพัน วัดในเขา, หลวงพ่อจีต วัดถ้ำเขาพลู, หลวงพ่อพลอย วัดเชิงคีรี เป็นต้น

                ากนั้นหลวงพ่อออกเดินทางมาถึงอำเภอสวี  ได้แวะพักจำที่วัดพระธาตุสวี  จึงออกเดินทางต่อมายังวัดดอนสะท้อน  ระหว่างที่พักจำอยู่ที่นี่หลวงพ่อได้สงเคราะห์ชาวบ้านแถบนี้เป็นอันมาก  ด้วยพุทธคุณที่ท่านได้ร่ำเรียนมาทุกครั้งไป  จนชาวบ้านนิมนต์ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดดอนสะท้อน  นับต่อจากหลวงพ่อพันซึ่งท่านได้ไปสร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า “วัดหน้าเมรุ”  ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก (ปัจจุบันยังมีหลักฐานหลงเหลืออยู่)

                ะหว่างที่หลวงพ่ออยู่ที่นี่  ด้วยสติปัญญาและพุทธคุณที่หลวงพ่อมีอยู่  ได้ทำนุบำรุงวัดให้เจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง  สร้างศาสนสถานหลายอย่างและยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน  ทั้งเป็นกำลังหลักในการบูรณะปฏิสังขรณ์พระธาตุสวี  รวมทั้งตั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา(ประชาบาล)ขึ้นครั้งแรกที่นี่  เข้าใจว่าหลวงพ่อคงมีเจตนาที่ดีและความเมตตาแก่เด็กชนบทที่ไม่ค่อยได้รับการศึกษาเท่าที่ควร  และเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนที่ ๖ ของจังหวัดชุมพร (ป.ชพ.๖)  ปัจจุบันได้ทำการรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว

              ด้วยอำนาจพุทธคุณ  หลวงพ่อเป็นที่รู้จักในฐานะเกจิอาจารย์สายใต้  ได้รับนิมนต์เข้าร่วมปลุกเสกหลายจังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานครก็หลายครั้ง  จนเป็นสุดยอดเกจิอาจารย์ ๑๐๘ แห่งแผ่นดินสยาม  มีศิษยานุศิษย์จำนวนมากหลายฐานะหลายอาชีพ

บริขารบางอย่างของหลวงพ่อที่ยังเก็บรักษาไว้อย่างดี

              ลวงพ่อท่านมรณภาพลงที่วัดดอนสะท้อน  เมื่อตอนสายของวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๕  ตรงกับวันเสาร์ขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔  รวมสิริอายุ ๗๘ ปี  ในงานฌาปนกิจศพหลวงพ่อได้มีญาติโยมศิษยานุศิษย์มาร่วมอย่างล้นหลาม  เสร็จงานแล้วต่างก็แย่งกันเก็บอัฏฐิ(กระดูก)หลวงพ่อเพื่อนำไปบูชาและระลึกถึง  รวมทั้งให้ช่างปั้นปูนฝีมือดีจากบ้านทุ่งคาใช้นามศิลปินว่า “ก.ทุ่งคา”  ปั้นรูปเหมือนหลวงพ่อเพื่อไว้กราบไหว้สักการะ  ตอนนี้รูปปั้นเหมือนหลวงพ่อประดิษฐานอยู่บนมณฑปตรีมุข  ที่สร้างถวายโดยหลวงพ่อแช่มเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน  และจัดงานรำลึกหลวงพ่อทุกวันขึ้น ๙ ค่ำเดือน ๔ ของทุกปี

รูปปั้นเหมือนหลวงพ่อ

สถานที่ฌาปนกิจศพหลวงพ่อ  ปัจจุบันคือหอระฆัง

เหรียญรุ่นต่างๆของหลวงพ่อทอง

 

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๔๖๔ ชินราช

            เหรียญห้อยคอ  เป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องรางของขลังที่ชายชาตรีส่วนมากต้องมีไว้กับตัว  จะด้วยมีไว้เพื่อปกป้องคุ้มครองตัวเอง  ด้วยอำนาจพุทธคุณของเหรียญนั้นๆ  ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าแคล้วคลาดปลอดภัย  หรือมีสะสมไว้เพราะความชอบ  ผู้ชายส่วนมากจะนิยมชมชอบพระเครื่อง  บ้างก็ชอบเพราะความสวยงามในการออกแบบ  ชอบในความเป็นของเก่าน่าสะสม  หรือชอบเพราะตนเองมีความเคารพศรัทธาในพระเกจิท่านนั้นๆ  จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่  สรุปว่าสำหรับคนที่ชอบพระเครื่องแล้ว  ถึงไม่มีไว้ในครอบครองก็ขอให้ได้ชมสักครั้ง  เท่านี้ก็อิ่มตาอิ่มใจกันแล้ว  สำหรับเหรียญของหลวงพ่อทองนั้น  ได้เป็นที่รู้จักไม่เฉพาะแต่นักสะสมพระเครื่องในภาคใต้เท่านั้น  แต่เป็นที่ติดตามเสาะหาของเซียนพระเครื่องทั่วประเทศด้วย  วันนี้จึงนำพระเครื่องของหลวงพ่อทองที่เป็นเหรียญห้อยคอ  ทั้งที่สร้างสมัยหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่  และที่สร้างหลังจากท่านมรณภาพแล้วก็มี

            เหรียญปี พ.ศ.๒๔๖๔ นี้เป็นเหรียญรุ่นแรกที่หลวงพ่อท่านสร้าง  ด้วยเจตนาที่รวบรวมปัจจัยเป็นทุนทรัพย์  ในการสร้างกุฏิ(ปัจจุบันขึ้นทะเบียนโบราณสถาน)แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖  ซึ่งในขณะนั้นไม่ได้กำหนดว่าต้องทำบุญเท่าไรจึงได้รับเหรียญ  เรียกว่าใครมีศรัทธาเท่าไรก็ทำบุญเท่านั้น 

รายละเอียดของเหรียญ ๒๔๖๔ ชินราช  ไม่ชื่อวัดไม่มีชื่อหลวงพ่อไม่มีปีที่สร้างมีแต่ยันต์ด้านหลังที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น  เป็นเหรียญรูปตาลปัดคว่ำไม่ยกขอบ (จะว่ารูปไข่ก็ไม่เชิง)  ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธชินราชปางเรือนแก้ว  นั่งขัดสมาธิมีกลีบบัวคว่ำ-หงายรองรับ  อักษรขอม ๗ ตัววางโดยรอบขอบเหรียญอ่านจากล่างขึ้นไปเวียนขวาได้ว่า กา, นะ, อะ, เร,นะ, นะ, นะ  ส่วนด้านหลังเป็นยันต์เอกลักษณ์เฉพาะของหลวงพ่อ  อ่านจากบนลงล่าง มิ, นะ, อุ  อ่านจากซ้ายไปขวา มะ, นะ, อะ  เหรียญที่สร้างไม่ทราบจำนวนแน่ชัดแต่ทราบว่าน้อยมาก  มีเนื้อเงินและทองแดง

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๔๗๓

            เป็นเหรียญรุ่นที่ ๒  ไม่มีชื่อวัดไม่มีชื่อหลวงพ่อไม่มีปีที่สร้างมีแต่ยันต์ด้านหลังที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น  สร้างเป็นที่ระลึกในโอกาสฉลองศาลาการเปรียญ(ปัจจุบันขึ้นทะเบียนโบราณสถานเช่นเดียวกัน)

รายละเอียดของเหรียญ ๒๔๗๓ ชินราช  เป็นรูปพัดเสมาคว่ำ  มีเส้นขอบ ๑ เส้นถัดมาเป็นเส้นจุดไข่ปลา ๑ เส้นและเส้นขอบอีก ๒ เส้น  ด้านหน้าตรงกลางเป็นรูปพระพุทธชินราชปางเรือนแก้ว  นั่งขัดสมาธิมีกลีบบัวคว่ำ-หงายรองรับ  อักษรขอม ๗ ตัววางโดยรอบขอบเหรียญอ่านจากล่างขึ้นไปเวียนขวาได้ว่า กา, นะ, อะ, เร,นะ, นะ, นะ  ส่วนด้านหลังมีเส้นขอบ ๑ เส้นถัดมาเป็นเส้นจุดไข่ปลา ๑ เส้นและเส้นขอบอีก ๒ เส้น  ตรงกลางมียันต์เอกลักษณ์เฉพาะของหลวงพ่อ  อ่านจากบนลงล่าง มิ, นะ, อุ  อ่านจากซ้ายไปขวา มะ, นะ, อะ  เหรียญที่สร้างไม่ทราบจำนวนแน่ชัดแต่ทราบว่าน้อยมาก  มีเนื้อเงินและทองแดง

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๔๘๐

            เป็นเหรียญรุ่นที่ ๓  ไม่มีชื่อวัดไม่มีชื่อหลวงพ่อไม่มีปีที่สร้างมีแต่ยันต์ด้านหลังที่เป็นเอกลักษณ์เท่านั้น  สร้างเพื่อสมทบทุนสร้างอุโบสถหลังใหม่  ซึ่งสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๒

รายละเอียดของเหรียญ ๒๔๘๐  มีเส้นขอบ ๑ เส้นถัดมาเป็นเส้นจุดไข่ปลา ๑ เส้นและเส้นขอบอีก ๑ เส้น  ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธชินราชปางเรือนแก้ว  นั่งขัดสมาธิมีกลีบบัวคว่ำ-หงายรองรับ  มีอักษรขอม  อิ จำนวน ๔ ตัว  ส่วนด้านหลังมีเส้นขอบ ๑ เส้นถัดมาเป็นเส้นจุดไข่ปลา ๑ เส้นและเส้นขอบอีก ๑ เส้น  ตรงกลางมียันต์เอกลักษณ์เฉพาะของหลวงพ่อ  อ่านจากบนลงล่าง มิ, นะ, อุ  อ่านจากซ้ายไปขวา มะ, นะ, อะ  เหรียญที่สร้างไม่ทราบจำนวนแน่ชัดแต่ทราบว่าน้อยมาก  มีเนื้อเงินและทองแดง

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๔๘๖

            เป็นที่ทราบกันดีว่า  ในปีพ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘ นั้น  เป็นช่วงที่เกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่๒  ชายชาตรีตามหมู่บ้านต่างๆถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อรับใช้ประเทศ  ในการป้องกันศัตรูผู้มุ่งร้ายต่ออธิปไตยของชาติ  มีบางรายถึงกับต้องหนีการเป็นทหาร  บางรายก็ต้องเป็นด้วยความจำใจ  แต่มีผู้ชายส่วนหนึ่งจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ตั้งใจจะไปสู้รบกับศัตรู  สมกับเป็นชายชาติทหารอก ๓ ศอก  วีรชนที่เสียสละกอบกู้บ้านกู้เมืองเสียจริงๆ  แต่ในการไปทำหน้าที่นั้น  ทุกคนรู้ดีว่าเป็นภาระที่หนักหน่วง  และตระหนักดีว่าแม้ชีวิตตนเองก็สามารถพลีได้  แต่กระนั้นก็ยังหวังพึ่งอำนาจพุทธคุณของหลวงพ่อตามวัดต่างๆ  เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดกลับมาโดยปลอดภัย  จึงต้องเสาะแสวงหาเครื่องรางมาไว้กับตัว

            ในหมู่บ้านดอนสะท้อนก็เช่นเดียวกัน  มีพระอาจารย์ทองซึ่งเป็นพระเถราจารย์ผู้ทรงพุทธคุณ  เป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านแถบนี้รวมถึงส่วนอื่นๆในภาคใต้ด้วย  หลวงพ่อท่านจึงสร้างวัตถุมงคลซึ่งเป็นเหรียญห้อยคอ  เพื่อให้แก่ลูกศิษย์ที่มารบเร้ากันมาก  รูปเหรียญที่ท่านสร้างนี้นับเป็นเหรียญรุ่นแรกที่เป็นรูปหลวงพ่ออยู่ด้านหน้า  ส่วนด้านหลังนั้นมียันต์ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของท่าน  ตัวเหรียญเป็นรูปใบสาเกแต่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า”พิมพ์เต่า”  เพราะมีลักษณะคล้ายเต่าที่เหยียดขาออก  ด้านหน้าเหรียญจะมีความโค้งนูนเหมือนกับกระดองเต่าเช่นเดียวกัน

            ด้านหน้าจะเป็นรูปหลวงพ่อครึ่งองค์  ส่วนบนมีชื่อเขียนเป็นแนวโค้งตามรูปเหรียญว่า”วัดดอนสท้อน”  โดย ไม่มีสระอะเหมือนชื่อวัดในปัจจุบัน  โค้งด้านล่างเขียนว่า “พระอาจารย์ทอง”  ขอบเหรียญ ๒ ชั้นที่เรียกกันว่า ๒ ขอบ  ส่วนตำหนิของเหรียญที่บ่งบอกว่าเป็นของแท้  ขอให้สังเกตและพิจารณาด้วยตัวท่านเองแล้วกัน  เพราะมาระยะหลังเหรียญหลวงพ่อที่เป็นเหรียญเลียนแบบ  ออกมาสู่วงการพระเครื่องมากมายเหลือเกิน

            ด้านหลังจะเป็นรูปยันต์เอกลักษณ์เฉพาะของท่าน  ตัวยันต์ภาษาขอมตามแถวที่เรียงจากบนสู่ล่าง(แถวกลาง)คือ มะ,นะ,อุ  แถวที่เรียงจากซ้ายสู่ขวา(แถวกลาง)คือ มะ,นะ,อะ  ด้านบนตัวยันต์มี อุณาโลม  ด้านซ้ายและขวาของแถวบนมี นะทรหด วางคู่กัน  ด้านซ้ายและขวาแถวล่างมี นะล้อม วางคู่กัน  ส่วนด้านล่างสุดเขียนบอกปีที่สร้าง พ.ส.๒๔๘๖

            เหรียญรุ่นนี้สร้างน้อยมากแต่จะเป็นจำนวนเท่าไหร่นั้น  หลักฐานที่ชัดเจนเป็นหนังสืออ้างอิงไว้ไม่มีเขียนบอก  ทราบแต่เพียงว่าเป็นเนื้อโลหะทองแดงและเงินเท่านั้น

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๕๐๘

อย่างที่ทราบว่าหลวงพ่อท่านได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นในปี ๒๔๘๒  แต่ต้องประสบกับภาวะสงครามจึงเป็นอุปสรรคในการก่อสร้าง  หลวงพ่อไม่ได้ละความพยายามจนแล้วเสร็จ  ขอพระราชทานเขตวิสุงคามสีมาได้ในปี ๒๔๙๕ (ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ ๖๙ ตอนที่ ๒  หน้า ๙๙๓ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.. ๒๔๙๕)  หลังจากที่ท่านมรณภาพประมาณ ๕ เดือน  ต่อมาหลวงพ่อประเดิม โกมโล(วัดเพลงวิปัสสนา กทม.)  ได้ร่วมกับศาสนิกชนในการจัดผูกพัทธสีมาอุโบสถในปลายปี ๒๕๐๘

            ในครั้งนั้น  หลวงพ่อประเดิมท่านได้เป็นประธานสร้างเหรียญที่ระลึกหลวงพ่อทอง  โดยมีลักษณะเหรียญด้านหน้าและด้านหลังผิดกับเหรียญรุ่น ๒๔๘๖ เล็กน้อย(เพื่อเป็นตำหนิ)  ด้านหลังเขียนบอกปีที่สร้างคือ ๒๕๐๘ และเหรียญมีขนาดบางกว่า  เป็นเนื้อทองแดงและมีจำนวนน้อยมาก  ต่อมาพระสมุห์สว่าง ถาวรจิตฺโต เจ้าอาวาสในขณะนั้น  เห็นว่าคณะศิษย์จำนวนมากยังไม่มีเหรียญที่ระลึกและหาทุนสมทบสร้างอาคารเรียนโรงเรียนวัดดอนสะท้อน  จึงสร้างเหรียญเพิ่มอีกโดยเป็นเนื้อกะหลั่ยทองจำนวน ๒,๕๐๐ เหรียญ  รูปเหรียญมีลักษณะเหมือนกันกับเนื้อทองแดงทุกประการ

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๕๓๖

            หลังจากที่พระสมุห์สว่าง ถาวรจิตฺโต ได้ลาสิกขาบท  ก็มีเจ้าอาวาสปกครองมาเป็นลำดับจนมาถึง พระสมุห์แช่ม อตฺตสนฺโต เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน(รับตำแหน่งเจ้าอาวาสปี ๒๕๒๖)  เห็นว่าอุโบสถชำรุดลงมากจึงร่วมกับศาสนิกชน  บูรณะซ่อมแซมอุโบสถเสียใหม่ในปลายปี ๒๕๓๖  ในครั้งนั้นเช่นเดียวกันได้สร้างเหรียญหลวงพ่อทองเป็นเนื้อทองเหลืองจำนวน ๕,๐๐๐ เหรียญ  เพื่อเป็นที่ระลึกในงานยกช่อฟ้าอุโบสถ  โดยมีคณาจารย์เกจิสายใต้ทำพิธีพุทธาภิเษก  รูปเหรียญทั้งด้านหน้าและด้านหลังผิดกับปี ๒๕๐๘ เล็กน้อย(เพื่อเป็นตำหนิ) มีขนาดหนากว่าและเปลี่ยนปี พ.ศ.จาก ๒๕๐๘ เป็น ๒๕๓๖

..

..ด้านหน้า..

..

ด้านหลัง

เหรียญหลวงพ่อทอง ๒๕๓๘ นายพล

            ในปี๒๕๓๘  มีคณะศิษยานุศิษย์นำโดยนายพลโทสุทิน เอมะพัฒน์(ยศขณะนั้น)  ได้ร่วมกันสร้างเหรียญหลวงพ่อทองถวายในโอกาสเลื่อนยศทางทหาร  เป็นเหรียญเนื้อทองแดงรมดำจำนวน ๗,๐๐๐ เหรียญ   ด้านหน้าผิดกับปี ๒๕๓๖ เล็กน้อย ส่วนด้านหลังไม่เขียนบอกปี พ.ศ.ที่สร้าง  ใต้ยันต์มีรูปมงกุฎครอบดาว ๒ ดวงบอกถึงยศทางทหาร  จึงเรียกเหรียญรุ่นนี้ว่า “รุ่นนายพล”ตามยศของผู้สร้าง

..

..ด้านหน้า..

..

..ด้านหลัง..

    ตอนต่อไปจะนำเรื่องปาฏิหาริย์พุทธคุณของหลวงพ่อมาฝาก  หากท่านสนใจและติดตาม

 



 
------------------------
  หน้าหลัก  
  คำถามที่มีการถามบ่อย  
  เราเล่นพระทำไม ?  
  กฎหมายพระเครื่อง  
  เกร็ดเล็ก-เกร็ดน้อย  
  สมัครเปิดร้านค้า  
  การชำระเงินค่าร้านค้า  
  ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง  
  ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับร้านค้า  
 
หน้าหลัก  อดีตสู่ปัจจุบัน  เว็บบอร์ดชมรม  ตารางประกวดพระ  สาระน่ารู้  เล่าสู่กันฟัง  ติดต่อเรา
Copyright©2024 zoonphra.com
Powered by Tactical IT