ท่านอาจารย์มหาลอย วัดแหลมจาก
วัดแหลมจาก ตั้งอยู่ที่บ้านปากรอ หมู่ที่ 6 ตำบลปากรอ อำเภอเมือง(ปัจจุบัน สิงหนคร) จังหวัดสงขลา สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย พื้นที่ตั้งวัดเป็นที่ราบ วัดแหลมจากสร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่ พ.ศ. 2440 โดยมีพระมหาลอย จนทสโร เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัดนี้ ชาวบ้านเรียกว่า วัดแหลม ได้รับพระราชทานวิสุงคามสิมาประมาณ พ.ศ. 2442
ท่านมหาลอย จนทสโร เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดแหลมจาก (พ.ศ. 2440 พ.ศ. 2482) เกิดที่บ้านปากรอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เมื่อ พ.ศ. 2412 โยมบิดาชื่อ ฮิ้ว เป็นชาวพัทลุง เชื้อสายตระกูล ณ พัทลุง ส่วนโยมบิดาเป็นชาวสงขลาไม่ทราบชื่อ ท่านมีพี่น้องเดียวกัน 3 คน เป็นชายทั้งหมด ตังท่านเป็นคนกลาง มีพี่ชายชื่อ หนู ส่วนน้องชายชื่อ ชุม (ภายหลังเป็นพระสมุห์ชุม เจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัดแหลมจาก) ท่านมหาลอยเป็นญาติใกล้ชิดผู้พี่ผู้น้องกับท่านพระครูปราการศีลประกฤต (ท่านพระอาจารย์จู้ลิ่ม) วัดบางทึง ส่วนใครเป็นผู้พี่ผู้น้องข้อมูลไม่ได้สืบค้นอย่างชัดเจน ท่านมหาลอยเกิดในตระกูล ระตินัย ซึ่งในขณะนั้นประกอบอาชีพทำนาทำสวน มีฐานะปานกลาง ท่านมีอุปนิสัยหัวแข็งไม่ยอมคน ไม่ลงให้ใครง่ายๆ แต่เป็นคนมีเหตุผลชอบความถูกต้อง และยุติธรรม โยมแม่ของท่านถึงแก่กรรมตั้งแต่ท่านยังเล็กอยู่ โยมพ่อจึงได้นำท่านไปฝากไว้กับตาและป้า ซึ่งมีบ้านพักอยู่ใกล้วัดไทรงาม อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา ในระหว่างที่ท่านอยู่นั้นท่านมักจะติดตามตาของท่านเข้าไปวัดไทรงามด้วยเป็นประจำ จนกระทั้งสมภารวัด คือ พ่อท่านเพชร มีความรักใครในตัวท่านเป็นอย่างมาก คุณตาจึงได้ฝากให้เรียนหนังสือกับพ่อท่านเพชรจนกระทั่งอ่านออกเขียนได้ ทั้งภาษาไทย และภาษาขอมปริยัติ ท่านมหาลอยอุปสมบทเมื่ออายุครบที่วัดควนโส ตำบลควนโส อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา แต่ไม่ทราบนามพระอุปัชฌาย์ โดยได้นามฉายาว่า จนทโร หลังจากบวชแล้วท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดไทรงามระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยลงเรือสำเภา ขณะนั้นค่าเรือ 9 บาท ใช้เวลาเดินทาง 8- 9 วัน ก็ถึงกรุเทพฯ แล้วก็สืบหาสำนักเรียนที่มีชื่อเสียง ก็ได้ทราบว่าที วัดสุทัศน์เทพวราราม เป็นสำนักเรียนเก่าแก่ ที่มีชื่อเสียง ท่านจึงตรงไปสู่สำนักวัดสุทัศน์ฯ ซึ่งขณะนั้น สมเด็จพระวันรัต(แดง) เป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านจึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ต่อสมเด็จวันรัต (แดง) แล้วท่านก็ได้อบรมสั่งสอนพระปริยัติธรรมจากสมเด็จสังฆราช(แพ) ซึ่งขณะนั้นยังเป็นราชาคณะอยู่ ยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช การเรียนปริยัติธรรมของท่านมหาลอย ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อคราวเปิดสอบสนามหลวง ท่านก็สามารถสอบผ่านได้เป็นเปรียญ 4 ประโยค จึงได้มีคำนำหน้าว่า มหา แต่นั้นมา
ท่านมหาลอยได้พระราชพัดยศจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพิเศษสุด คือได้รับพระราชทานย่ามจารึก พระปรมาภิไธย จ.ป.ร. จากพระหัตถ์ของรัชกาลที่ 5 ซึ่งนับว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแก่ตัวท่าน และภิกษุชาวปักษ์ใต้ และได้โปรดรับสั่งให้เข้าไปทำการสอนบาลีในพระบรมมหาราชวัง นอกจากสอนบาลีแล้ว ก็ได้สอนหนังสือให้กับพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองศ์ จนกระทั่งได้รับความสนิทสนมไว้วางพระหทัยจากกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระบรมวงศ์เธอพระองศ์เจ้าอาทิตย์ และล้นเกล้ารัชกาลที่ 7 การเข้าออกเขตพระราชฐาน หรือพระบรมมหาราชวังของท่านมหาลอยได้รับพระบรมราชานุญาติเป็นกรณีพิเศษ คือ เพียงคล้องย่ามพระราชทาน จ.ป.ร. เมื่อทหารรักษาพระบรมหาราชวังเห็นก็จะเปิดประตูให้และอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ที่มีต่อท่านมหาลอย เพราะทรงเลื่อมใสศรัทธาในความรู้และวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านมหาลอยสอนหนังสือและบาลีอยู่ในพระบรมหมาราชวังเป็นเวลา 2 พรรษา ก็เกิดอาภารเป็นโรคเหน็บชา ทำให้ไม่สามารถไปสอนได้ จึงกราบบังคมทูลลาออก เพื่อเดินกลับจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของท่าน พระพุทธเจ้าหลวงได้ทรงพระมหากรุณาให้แพทย์หลวงรักษาอาการป่วยของท่านจนเป็นปกติและได้พระราชทานพระบรมราชานุญาติให้ลาออกจากครูสอนบาลีได้ ท่านจึงเดินทางกลับมาพักจำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา (พระอุปัชฌาย์ของท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง) และก็ยังทำหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมให้กับพระเณรที่บวชอยู่ทั้งใหม่และเก่า นับว่าท่านมีอัจจริยะ ภาพมาก ทั้งในการเรียนการสอน เมื่อชาวบ้านปากรอทราบว่าท่านได้กลับมาอยู่สงขลาแล้ว ก็ได้ไปมาหาสู่เป็นประจำ และก็ได้ร้องขอให้ท่านกลับไปอยู่ที่ปากรอ แล้วจะช่วยสร้างวัดให้จำพรรษา เมื่อมีชาวบ้านจำนวนมากพากันมารบเร้าท่านก็ได้รับปากจะไปอยู่ที่ปากรอ เพื่อต้องการไปอบรมสั่งสอนพระเณร และชาวบ้านปากรอบ้างด้วยถือว่าเป็นถิ่นกำเนิด จึงให้ชาวบ้านมาช่วยกันถางป่าต้นไม้จากบริเวณริมน้ำ แล้วจัดการสร้างเป็นเสนาสนะชั่วคราวพออยู่ได้ไปก่อน ด้วยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านที่มีความศรัทธาในตัวท่าน ไม่ช้าป่าจากแห่งนั้นก็กลายสภาพเป็นที่พักสงฆ์ชั่วคราว และพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ โดยท่านมหาลอยเป็นผู้ลงมือก่อสร้างด้วยตนเอง ท่านเป็นพระที่มีศีลจารวัตรงดงามมากท่านเป็นพระที่เคร่งครัดก็จริง แต่วาจาอ่อนหวานไพเราะน่าฟังและน่ายำเกรงเป็นพระมหานิกายที่เคร่งต่อวัตรปฏิบัติ และมีปฏิปทาที่น่าเลี่ยมใส สำหรับความรู้ทางพระเวทย์หรือวิชาอาคม พ่อท่านลาวเล่าว่าเคยเห็นมหาลอยหยิบต้นคัมภีร์พระเวทย์และอาคมมาให้ดูและบอกว่าเป็นของโยมพ่อที่ตกทอดมาจากปู่ของท่านซึ่งได้รับตกทอดมาจากพระยาพัทลุง(ขุน ณ พัทลุง) อดีตเจ้าเมืองพัทลุง ที่ชาวพัทลุงรู้จักกันดีนามว่า ขุนคางเหล็ก ตามตำนานบอกว่า ขุนคางเหล็ก เป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้ามาก รอบรู้ทางพระเวทย์อาคมขลัง เป็นศิษย์ศึกษาพุทธาคมจากสำนักวัดเขาอ้อ ซึ่งมีชื่อเสียงเกรียงไกรทางไสยศาสตร์มากและท่านมหาลอยเองก็ได้ติดต่อไปมาหาสู่สำนักวัดเขาอ้อเป็นประจำ วิชา ไสยศาสตร์คาถาอาคม วิชาโหราศาสตร์และวิชาแพทย์แผนโบราณท่านได้ศึกษาจากสำนักวัดเขาอ้อและจากตำราที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นตำราของสำนักวัดเขาอ้อเช่นกัน นอกจากนี้ท่านยังมีความเชี่ยวชาญในงานด้านช่าง ท่านพัฒนาวัดแหลมจากให้เจริญรุ่งเรืองจนเป็นที่ประจักษ์โดยท่านลงมือทำงานด้านช่างเอง บรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งใกล้ไกลเลื่อมใสศรัทธา ท่านเคยได้รับนิมนต์ไปประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์บ่อยครั้งและหลายครั้งที่ท่านได้แสดงอภินิหารเป็นประสบการณ์ให้ได้พบเห็นในยามคับขัน แม้ท่านไม่โอ้อวดแต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเลื่อมใส่ศรัทธาเล่าขานกันอย่างไม่จบสิ้น และเมื่อต้นปี พ.ศ. 2482 ท่านก็เริ่มอาพาธ จนกระทั้งมรณภาพในปี พ.ศ. 2482 นั้นเอง สิริอายุ 70 ปี 50 พรรษา ท่านได้มรณภาพหลังพระท่านอาจารย์จู่ลิ่ม เพียงไม่กี่เดือน ซึ่งเป็นการสูญเสียพระเถระที่เคารพนับถือเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านญาติโยมและบรรดาสานุศิษย์ในเวลาใกล้เคียงกันถึง 2 รูป นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ เพราะท่านทั้งสองเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีศิษย์มากมายและถือได้ว่าเป็นต้นตำรับของพระเกจิอาจารย์สายควนเนียงและรัตภูมิที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมาอีกหลายรูป
เหรียญท่านอาจารย์มหาลอย วัดแหลมจาก รุ่นแรก
เหรียญท่านอาจารย์มหาลอย วัดแหลมจาก รุ่นแรก สุดยอดแห่งความหายากของดินแดนแห่งทะเลสาบ เป็นเหรียญหลักของเมืองสงขลาที่ชาวสงขลาอยากได้มาบูชานับวันจะหาดูสวย ๆ ยาก ราคานับวันจะแรงขึ้น เป็นเหรียญที่ดังด้วยประสบการณ์ ประวัติการสร้างเหรียญพ่อท่านมหาลอย การสร้างนั้นได้สร้างหลังจากการมรณภาพของท่านมหาลอย หลวงพ่อภัทร ภัทริโย แห่งวัดโคกสูง ซึ่งขณะนั้นได้จำพรรษาอยู่ที่วัดแจ้ง สงขลา ได้ขออนุญาตโดยผ่านทางการทรงที่พระนอนองค์ใหญ่ โดยมีคำสั่งว่าให้สร้างได้ 5,059 เหรียญ ต้องมีส่วนผสมของทอง เงิน นาก ตลอดจนเป็นแบบด้านหน้าของเหรียญกับยันต์ด้านหลังเหรียญ และต้องนำออกมาแจกจ่ายประชาชน หลวงพ่อภัทร เมื่อได้รับอนุญาตโดยผ่านการทรงหน้าพระนอนแล้ว จึงได้เดินทางไปติดต่อทำเหรียญที่กรุงเทพฯ เดิมทีคิดว่าจะแจกในวันทำพิธีศพของท่านมหาลอยแต่ไม่ทัน ก็เลยนำมาแจกจ่ายภายหลัง โดยมีการพุทธาภิเษกที่วัดโพธิ์ ท่าเตียน กรุงเทพฯ และได้นำมาปลุกเสกต่อที่วัดแจ้ง สงขลา จำนวนการสร้าง 5,000 เหรียญ โดยมีหลวงพ่อภัทรเป็นประธานปลุกเสก ร่วมกับพระสงฆ์ที่วัดแจ้งอีก 9 รูป เนื่องจากการสร้างเหรียญครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแจกจ่ายให้ลูกศิษย์ตลอดจนประชาชนทั่วไป เหรียญนี้สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2483 ลักษณะเหรียญเป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านหน้าเป็นรูปท่านมหาลอยนั่งเท้าแขนอยู่บนเก้าอี้ รูปนี้ได้จากภาพถ่ายของท่านเองซึ่งไปถ่ายที่ประเทศมาเลเซีย |