วัดเอกตั้งอยู่บ้านเลขที่ ๑๒ ม.๓ ต.เชิงแส อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา พื้นที่วัดเป็นที่ราบลุ่มภายในวัดมีปูชนียวัตถุที่สำคัญคือ พระประธานในพระอุโบสถนามว่า "หลวงพ่อเิดิม" และพระพุทธบาทไม้จำลองเป็นไม้แกะสลัก กว้าง ๘๐ เซนติเมตร ยาว ๑.๒๐ เมตร ซึ่ึ่งลอยน้ำมาพร้อมกับองค์พระพุทธรูปหลวงพ่อเดิม
วัดเอกเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งในจังหวัดสงขลาที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ได้รับพระราชทานวิสุงคามเสมาเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๑๐๐ สันนิษฐานว่าในอดีตวัดแห่งนี้เคยมีความเจริญรุ่งเรื่องมาก่อน แต่ระยะหลังได้เว้นว่างจากพระสงฆ์ จึงขาดผู้ดูแลเสนาสนะต่าง ทำให้วัดอยู่ในสภาพทรุดโทรม แต่ด้วยเหตุว่าวัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน คือ "หลวงพ่อเดิม" ชาวบ้านจึงนิยมมาสักการะบูชา บนบานสานกล่าวต่อหน้าองค์หลวงพ่อเดิมเพื่อให้ประสพความสำเร็จในเรื่องต่างๆ แล้วมาแก้บนด้วยวิธีการบวช โดยแต่ละปี จะมีกุลบุตร กุลธิดามาบวชที่วัดเอกเป็นจำนวนมาก ระยะหลัง (ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ถึงปัจจุบัน) วัดเอกจึงค่อยได้รับการพัฒนาเสนาสนะต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องมีการขยายพื้นที่วัด และปรับปรุงทัศนียภาพของวัดจนมีบรรยากาศที่ร่มรื่นสวยงามเป็นสัดส่วน
พ.ศ.๒๕๓๖ ได้มีการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ และได้มีการยกช่อฟ้าในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ (ในการนั้นได้สร้างเหรียญรูปเหมือนจำลองจากองค์จริง) จากนั้นจึงดำเนินการผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิตเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๔๓
พ.ศ. ๒๕๓๘ วัดเอกได้รับรางวัลพัฒนาตัวอย่าง เจ้าอาวาสได้รับการแต่งตั้งให้ตำรงตำแหน่งเป็นเจ้าคณะอำเภอ กระแสสินธุ์ มีโรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ โรงเรียนปริยัติธรรม ศูนย์ปฏิบัติธรรม และโครงการปฏิบัติธรรม
พ.ศ. ๒๕๕๐ วัดเอกได้รับการคัดเลือกให้เป็นวัดต้นแบบในโครงการคนรักวัดจากกระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้วัดอื่นๆได้ศึกษา และนำแนวทางการจัดการของวัดเอกไปประยุกต์ใช้
วัดเอกในปจจุบันจึงเป็นที่รู้จักของประชาชนมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ บทบาทของวัดเอกในปัจจุบันมิิได้เป็นเพียงศาสนสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่วัดเอกยังได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาตนเองสำหรับพุทธศาสนิกชน โดยเฉพาะโครงการปฏิบัติธรรม เนื่องในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือได้ว่าเป็นโครงการที่เป็นที่รู้จักโดยกว้างขวางอย่างต่อเนื่องและมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการส่งเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และการปฏิบัติธรรมตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ของพุทธศาสนิกชนในจังหวังสงขลา ซึ่งนับต้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นมา |