เว็บลิ้งค์ชมรมต่างๆ

เว็บไซต์วัดเกจิดังในสยาม
วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี
วัดหนองป่าพง จ. อุบลฯ
วัดเขาแหลม จ. สระแก้ว
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
วัดหัวป่า อ. ระโนด จ. สงขลา
วัดแก้วโกรวาราม จ. กระบี่
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
หลวงสมชาย วัดเขาสุกิม
ป้อนหมายเลขสิ่งของ


***พิมพ์หมายเลขสิ่งของจำนวน 13 หลัก

รายละเอียดเพิ่มเติม

  หน้าหลัก  :  อดีตสู่ปัจจุบัน  :  เว็บบอร์ดชมรม  :  ตารางประกวดพระ  :  สาระน่ารู้  :  เล่าสู่กันฟัง  :  ติดต่อเรา
ประวัติเกจิอาจารย์ดัง: เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส
ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ตอน 3
14-03-2010 Views: 5903
ภิกษุกายทิพย์
     ดังได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก เป็นภิกษุรูปเดียวที่เคร่งครัดต่อธรรมวินัย หาภิกษุ ใดในยุคปัจจุบันนี้เสมือนท่านเจ้าคุณนรรัตนหาได้ไม่ นั่นแต่ท่านบรรพชาอุปสมบทมา ๓๐ กว่าพรรษา ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังมิเคยย่างกรายออกนอกเขตบริเวณวัดเทพศิรินทร์เลย แม้แต่ครั้งเดียว หลังจาก ได้บวชผ่านไปแล้ว ๑ พรรษา และไม่เคยรับนิมนต์จากญาติโยมคนใดทั้งสิ้น แต่แล้วก็ได้มีปรากฏการณ์ ประหลาดเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่มีผู้พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ไปปรากฏองค์ท่านให้เห็น ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศซึ่งข้าพเจ้า จะขอนำเอาเหตุการณ์ ประหลาดเหล่านี้มาเล่าสู่คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้
       เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ตรงกับวันที่ ๑๗ พ.ย. ทางกรมการรักษาดินแดนได้จัดสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นเพื่อ แจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปบูชาและได้ทำการพุทธาภิเศกตามวันดังกล่าวนี้ โดยนิมนต์พระคณาจารย์ ที่มีชื่อเข้าร่วมทำพิธีปลุกเศก คือหลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร, หลวงพ่อปู่อาคม วัดสุทัศน์ฯ, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม, หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม, หลวงปู่นาค วัดระฆัง, พระสุธรรมธีระคุณ วัดสระเกศ, หลวงพ่อ คล้าย วัดจันดี, หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก, และพระอาจารย์ผ่อง จินดา วัดสามปลื้ม ยังได้กระทำพิธี อัญเชิญดวง พระวิญญาณของอดีตพระมหากษัตริย์ไทยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ ร.๑ ถึง ร.๘ มาประทับทรงในร่างของนายทหารและนายตำรวจ เพื่อทรงเป็นประธานและสักขีพยาในพิธีปลุกเศกนี้ด้วย
ในการกระทำพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ครั้งนี้ คณะกรรมการทุกคนจะลืมนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตน เสียมิได้ เพราะท่านเจ้าคุณนรรตันเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่จงรักภักดีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่๖ จนปวารณาตัวบวช ไม่ยอมสึก และล้นเกล้ารัชกาลที่๖ ก็ทรงโปรดปรานเจ้าคุณนรรัตนเช่นเดียวกัน เมื่อมีการสร้างเหรียญ ร.๖ ขึ้นครั้งนี้ คณะกรรมการจึงได้เดินทางไปนินมต์ท่านเจ้าคุณนรรัตนให้เข้าพิธีพุทธาภิเษกด้วย แต่คณะ กรรมการ ก็ได้รับความผิดหวัง เพราะท่านเจ้าคุณนรรัตนไม่ยอมรับนิมนต์ออกนอกเขตวัดท่านเจ้าคุณนรรัตน ได้บอกกับคณะกรรมการชุดนั้นว่า
"อาตมาจะขอนั่งปรกปลุกเสกอยู่ในกุฏินี้เพื่อส่งกระแสร์จิตไปร่วมพุทธาภิเศกด้วยใ นครั้งนี้ จนกระทั่งเสร็จพิธี"
คณะกรรมการสร้างเหรียญ ร.๖ ชุดนี้จึงได้นำชื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนประกาศให้ประชาชนทราบทั่วกัน ว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนได้ส่งกระแสร์จิตเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเศกเหรียญ ร.๖ ในครั้งนี้ด้วย
      เมื่อประชาชนได้ทราบข่าวว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนส่งกระแสร์จิตปลุกเศกเหรียญ ร.๖ ต่างก็ทะยอย มาสั่งจอง กันเป็นจำนวนมาก แม้บางรายยังไม่เคยเห็นรูปลักษณะเหรียญ ร.๖ เลยก็ยังสั่งจองกันมากมาย ชั่วเวลาเพียงไม่ถึงสิบวัน ก็มีประชาชนสั่งจองเหรียญ ร.๖ ถึง ๔ หมื่นเหรียญ และเมื่อเสร็จพิธีพุทธาภิเศก ก็ได้นำออกแจกจ่ายให้ประชาชนบูชาเพียงไม่นานนักเหรียญ ร.๖ ก็หมดเกลี้ยงอย่างไม่มีใครคาดถึง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะบารมีกระแสร์จิตของท่านเจ้าคุณนรรัตนที่เข้าร่วมปลุกเศกด้วยนั่นเ อง
      เมื่อประชาชนจำนวนมากรับเหรียญ ร.๖ ไปพกติดตัว ต่างก็ปรากฏอภินิหารต่างๆ นานา ทั้งทางอยู่ยง คงกระพันและโชคลาภ จนโจษขานกันทั่วอยู่พักหนึ่ง ปรากฏการณ์สิ่งนี้เองที่มีประชาชนจำนวนมากได้ ประจักษ์กันว่า ท่านเจ้าคุณนรรัตนมีกระแสร์จิตอันแก่กล้า สามารถส่งมาร่วมพิธีพุทธาภิเษกได้ แต่ไม่เพียง กระแสจิตเท่านั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตนยังสามารถถอดกายทิพย์ออกไปให้ผู้อื่นพบเห็นได้อีกด้วย
      ผู้ที่พบท่านเจ้าคุณนรรันไปปรากฏองค์ให้เห็น ก็คือมีนายทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีความเลือมใสศรัทธา ท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก เมื่อครั้งได้รับคำสั่งทางราชการให้เดินทางไปสมรภูมิเวียดนาม จึงได้เดินทางมาหา ท่านเจ้าคุณนรรัตนเพื่อขอศีลขอพร และให้ท่านเจ้าคุณนรรัตนประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้เพื่อเป็นศิริมงคล ครั้นได้เดินทางไปประจำอยู่ในสมภูมิเวียดนาม ก็ได้ปะทะกับพวกเวียดกงหลายครั้ง บางครั้งอยู่ในภาวะ คับขันหวุดหวิดจะได้รับอันตราย ก็ได้พบท่านเจ้าคุณนรรัตนมาปรากฏร่างช่วยเหลือคลี่คลายสถานการณ์ จนพ้นภาวะคับขันไปได้ทุกครั้ง จนเป็นที่กล่าวขานกันอย่างมากมายในกลุ่มทหารกองพลเสือดำมาแล้ว
ส่วนทางด้านสหรัฐอเมริกาก็ได้มีผู้พบเห็นท่านเจ้าคุณนรรัตนไปปรากฏมาแล้วเหมือนกัน กล่าวคือ มีชาวอเมริกันผู้หนึ่งซึ่งได้เคยรู้จักกับ พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์ ได้เขียนจดหมาย เล่าเรื่องราวประหลาด มหัศจรรย์แก่ พ.ต.อ. ชลอ ว่า ได้มีเศรษฐีอเมริกันผู้หนึ่งอยู่ในนครนิวยอร์ค ได้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายแรง โรคหนึ่ง ได้รักษาเสียเงินเสียทองมาแล้วอย่างมากมายโรคร้ายนั้นก็ไม่หาย แต่เศรษฐีอเมริกันผู้นี้ เป็นผู้ใจบุญสุนทาน และประกาศตนเป็นพุทธมามะกะมาแล้ว เมื่อเสียเงินเสียทองรักษาตัวทางแพทย์ ปัจจุบันมาแล้วหลายแห่ง โรคร้ายนั้นก็ไม่ยอมหาย จึงหันมาระลึกถึงพุทธคุณทางพุทธศาสนาอยู่เสมอ ปรากฏว่าวันหนึ่งได้มีพระภิกษุไทยรูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมที่บ้านของเศรษฐีผู้นั้น และแสดงความจำนงค์ขอ ช่วยรักษาโรคร้าย ให้โดยการใช้กระแสร์จิตรักษา เศรษฐีผู้นั้นก็ยินยอมให้ภิกษุไทยรูปนั้นรักษาให้ และ หลังจากพระภิกษุไทยรูปนั้นใช้กระแสร์จิตรักษาแล้ว ปรากฏว่าอาการป่วยของเศรษฐีผู้นั้นก็เริ่มทุเลาลง เป็นอันดับ พระภิกษุไทยรูปนั้นจึงได้บอกชื่อว่า พระภิกษุเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พำนักอยู่ที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ทำให้เศรษฐผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก และหลังจากนั้นไม่นานนักอาการของเศรษฐี นั้น ก็ค่อยทุเลาและหายเป็นปกติ จึงได้บอกเพื่อนชาวอเมริกันที่คุ้ยเคยกับคนไทยในกรุงเทพฯให้ช่วย เขียนจดหมายมาถามดูว่าที่ในกรุงเทพฯ มีวัดเทพศิรินทร์ และพระภิกษุชื่อเจ้าคุณนรรัตนหรือไม่? เพื่อนของเศรษฐีอเมริกันผู้นั้นซึ่งคุ้นเคยกับ พ.ต.อ. ชลอ ก็ได้เขียนตอบไปแล้วว่ามีจริงดังที่ถามมา ทุกประการ
      อีกรายหนึ่ง ที่พบท่านเจ้าคุณนรรัตน ธมฺมวิตกฺโก ไปปรากฏร่างให้เห็นก็คือ พ.ต.ท. นายแพทย์สุภัค บรรฑุรัตน์ หัวหน้าแผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้เล่าว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนเคยไปเยี่ยมถึงบ้าน และพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเป็นเวลานานจึงได้ลากลับ นายแพทย์สุภัคถึงกับงุนงง เพราะเป็น ผู้หนึ่งที่เลื่อมใสศรัทธาท่านเจ้าคุณนรรัตนมาก และก็ทราบว่าท่านเจ้าคุณนรรัตนมิเคยย่างกรายออกจาก วัดเทพศิรินทร์เลยแต่เหตุไฉนที่นเจ้าคุณนรรัตน จึงได้ไปเยี่ยมเยียนและพูดคุยกับตนถึงบ้านได้ ท่าน เจ้าคุณนรรัตนต้องถอดกายทิพย์ไปอย่างแน่นอน
เพื่อให้คุณผู้อ่านได้ทราบถึงเรื่องราวของ "กายทิพย์" ว่า มีจริงหรือไม่? ข้าพเจ้าก็ขอนำเอาข้อเขียน ของ พ.ต.อ. ชลอ อุทกภาชน์ ธบ.น.บ.ท ผกก ตำรวจสันติบาล แผนก ๔ ผู้เชี่ยวชาญการค้นคว้าทาง วิญญาณ และทางโยคะศาตร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ "แว่นส่องจักรวาล" มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ก่อนอื่นที่จะกล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์นั้น เราได้ศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ทางด้านกายภาพ และชีวภาพกันมาแล้ว แต่ตามหลักวิชาวิทยาศาสตร์ทางฟิสิคดังกล่าวหาได้กล่าวถึงเรื่องกายทิพย์ของ มนุษย์ ซึ่งมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์แต่อย่างไรไม่ และนักวิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลก ก็หาได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์-แต่อย่างไรไม่ ในเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์นั้น คงมี กล่าวไว้ในโยคะศาสตร์เท่านั้น และเป็นวิชาสำคัญสาขาหนึ่งในโยคะศาสตร์ ซึ่งผู้ที่ศึกษา โยคศาสตร์ชั้นสูง จะต้องศึกษาวิชาว่าด้วย กายทิพย์อย่างละเอียดถี่ถ้วนส่วนในพุทธศาสนานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง ตรัสเรื่องกายทิพย์ของมุนษย์ ไว้เป็นหลักฐานวในสามัญญผลสูตร ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า
"ผู้ที่สามารถถอดกายทิพย์ออกจากายหยาบของตนได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง"
ส่วนธรรมชาติของสภาวะของกายทิพย์นั้น ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าจากหลักฐานในพระไตรปิฏกตอนใด ของพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงเรื่องราวของกายทิพย์ ของมุนษย์อย่างละเอียด อย่างที่ได้กล่าวไว้ในโยคะ ศาสตร์ ส่วนหลักโยคะศาสตร์นั้นได้เรียก"วิชากายทิพย์ของมนุษย์ว่า ฮูเลียราบัด" และแบ่งออกดังนี้ คือ
   ๑. กายทิพย์ของมนุษย์คืออะไร?
   ๒. กายทิพย์เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
   ๓. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวสัมพันธ์กับปฏิสนธิวิญญาณอย่างไร?
   ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมอย่างไร?
   ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนา ยอมรับเรื่องกายทิพย์ของมนุษย์ว่าเป็นความจริง
    ดังกล่าวไว้ในหลักของโยคะศาสตร์ หรือไม่เพียงใด
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะอธิบายวิชากายทิพย์ ตามหลักโยคะศาสตร์ โดยละเอียดนั้นข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึง
ปรากฏการณ์ต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นแก่ชีวิตของท่านเองหรือญาติมิตรของท่าน แต่ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่มีผู้ใด ตอบได้ตามเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หากท่านได้ศึกษาโยคะศาสตร์มาบ้างแล้ว ท่านอาจตอบปัญหา ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ได้ทันที ทั้งนี้เพราะวิชากายทิพย์ของมุนษย์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ถือว่าเป็นวิทยาการ ว่าด้วยสภาวะธรรมชาติส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ จึงจำต้องศึกษาค้นคว้าให้รู้ถึงธรรมชาติอย่างแท้จริงของมัน แต่วิชากายทิพย์นี้เป็นเรื่องยาก สำหรับประชาชนทั่วไปจะศึกษาค้นคว้าเข้าไปถึง ผู้ที่สามารถศึกษาเรื่องราว เหล่านี้ ก็จะต้องฝึกจิตทางสมาธิให้บรรลุฌาณสมาบัติขึ้นสูง หรือบรรลุชั้นญาณโยคีเสียก่อน จึงจะสามารถ ศึกษาค้นคว้าวิชาอันเร้นลับเหล่านี้ได้ หากผู้ที่ไม่เคยฝึกจิตทางสมาธิเลย หรือฝึกจิตทางสมาธิเพียงขั้นต้น บุคคลเหล่านี้ก็ยังสามารถจะศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้ อนึ่งพวกเราชาวพุทธมักจะได้ยินข่าวเรื่องราวพระภิกษุบางรูป ซึ่งเป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงรู้วัน มรณะกรรมของตัวเอง ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และได้แจ้งวันเวลาเหล่านี้ให้ศิษย์หรือผู้ใกล้ชิดทราบล่วงหน้า ตั้งแต่ ๓-๗ วัน ครั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ท่านก็มรณะภาพจริงๆ พระคณาจารย์เหล่านี้ตามประวัติ ของท่านแทบทุกองค์ล้วนแต่ได้ฝึกจิตทางสมาธิมาเป็นเวลาช้านาน และสามารถแสดงปรากฏการณ์ทางจิต ได้หลายอย่างหลายประการจนกระทั่ง ได้รับการยกย่องจากประชาชนว่า ท่านเหล่านี้เป็นบุคคลชั้น"คณาจารย์" ซึ่งเป็นการแน่นอนเหลือเกินว่าพระคณาจารย์เหล่านี้ย่อมสามารถรู้สภาวะธรรมชาติของกาย ทิพย์ของท่านเอง ท่านย่อมสามารถหยั่งรู้วันมรณะกรรมล่วงหน้าของท่านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้เพราะกายทิพย์ของคณาจารย์ผู้นั้น จะเป็นผู้แจ้งเหตุล่วงหน้าวันมรณะภาพให้คณาจารย์ผู้นั้นทราบ
หากผู้ที่มิได้ฝึกทางสมาธิ และยังมิได้บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วกายทิพย์ของผู้นั้น จะบอกเหตุ เกี่ยวกับการมรณะกรรมของบุคคลผู้นั้นให้ทราบเหมือนกัน แต่การบอกเหตุล่วงหน้าของกายทิพย์นั้น จะแสดงออกเป็นรูปปรากฏการณ์ต่างๆ เช่นดลใจให้บุคคลผู้นั้นกล่าวอำลาตายแก่ญาติมิตรหรือผู้ใกล้ชิด หรือกล่าวเป็นทำนองว่า จะต้องจากไปโดยไม่มีวันกลับมาอีก หรือดลใจให้ผู้นั้นรับประทานอาหารมากมาย ผิดปกติ ซึ่งคนไทยเราเรียกว่า กินสั่ง หรือแสดงปรากฏการณ์ทางใบหน้าของบุคคลผู้นั้น โดยทำให้สีหน้า ของบุคคลผู้นั้นดำหมองคล้ำผิดปกติ และต่อมาอีก ๒-๓ วัน บุคคลผู้นั้นถึงมรณะกรรมโดยปัจจุบันทันด่วน โดยไม่มีผู้ใดนึกฝันมาก่อนเลย ปรากฏการณ์ของกายทิพย์ซึ่งแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว เป็นการแสดงออกของกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นแจ้งเหตุล่วงหน้า ให้แก่บุคคลผู้นั้นทราบในทางร้าย ชาวไทยเราเรียกว่า "ลางร้าย" หากผู้นั้นจะได้รับโชคลาภหรือตำแหน่งหน้าที่ กายทิพย์ก็จะบอกเหตุ ให้ทราบล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เช่นแสดงอออกทางใบหน้า หน้าตาผู้นั้นจะแจ่มใส่เบิกบานหรือแสดงออก ทางร่างกาย ผู้นั้นจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าบางขณะชั่วขณะหนึ่ง หรือแสดงออกทางฝ่ามือ เช่นจะได้รับโชคลาภ ผู้นั้นมักจะรู้สึกคัน ที่ฝ่ามือเป็นระยะๆ หรือจะปรากฏผุดแดงขึ้นในฝ่ามือเหล่านี้เป็นต้น ชาวไทยเราเรียก "ลางดี"
ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ธรรมชาติของกายทิพย์ของมนุษย์นั้น มีสภาวะธรรมชาติเกี่ยวข้องกับชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคล ตั้งแต่เข้าปฏิสนธิถึงวันมรณะ และจะแสดงให้ทราบถึง อดีตวิบากกรรม ทั้ง กรรมดี และกรรมชั่วโดยแสดงปรากฏการณ์ในลักษณะต่างๆ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งท่านผู้อ่านทั้งหลาย คงได้ประสบเหตุเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย เว้นแต่เราไม่สนใจในเรื่องราวเหล่านี้ จึงมองข้ามไปเสีย หากผู้ใดได้ศึกษาสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ของมุนษย์แล้ว เมื่อประสพการณ์ใดๆ ย่อมจะทราบได้ ทันทีว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น แก่ตนเองหรือผู้อื่น เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ดังกล่าวมาแล้ว จึงได้เกิดวิชา พยากรณ์ชีวิตทางลายมือขึ้น และวิชาพยากรณ์ทางลายมือนี้ได้แผ่ขยายไปทั่วโลกในปัจจุบัน การปรากฏ การณ์ในเส้นลายมือของบุคคลทุกคนในลักษณะแตกต่างกันนั้น กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะแสดงให้เห็น ผลของอดีตกรรม, ปัจจุบันกรรม ประกอบกับทุกๆวัน ฉะนั้นหากผู้ใดสามารถศึกษาค้นคว้าสัญญาลักษณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในฝ่ามือของบุคคลย่อมจะสามารถพยากรณ์ชาตาชีวิต ของบุคคลแต่ละบุคคลได้ใกล้เคียงความจริง ดังตัวอย่างซึ่งข้าพเจ้าจะยกมากล่าวประกอบ เรื่องราวลึกลับของกายทิพย์ นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียง ที่สุดในโลก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองความสามารถและยอมรับว่า วิชาพยากรณ์ลายมือนั้นเป็น ศาสตร์ที่ลึกลับศาสตร์หนึ่งหาก ศึกษาค้นคว้าให้ทราบถึงหลัก อันแท้จริงแล้ว สามารถจะล่วงรู้เหตุการณ์ เกี่ยวด้วยชีวิตในอดีตและอนาคตของบุคคลๆ ได้ถูกต้องใกล้เคียงความจริง นักพยากรณ์ลายลักษณ์ ในฝ่ามือผู้นี้คือ มร. ไคโร
มร. ไคโร ผู้นี้นักวิทยาศาสตร์ได้พิมพ์มือบุคคลสำคัญ ๆในสหรัฐอเมริกาประมาณ ๓๐ ราย บางราย เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงแต่ภายหลังได้ทำการฆาตกรรมภรรยา และต้องลงโทษตามคำพิพากษาของศาล ให้ประหารชีวิตไปแล้ว บางรายก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงบางรายก็เป็นนักการเมืองคนสำคัญของสหรัฐฯ บางรายก็เป็นนักธุระกิจขั้นมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งรายมือเหล่านี้ไปให้ มร.ไคโร พยากรณ์ โดยไม่บอกชื่อและประวัติของเจ้าของลายมือเลยแม้แต่รายเดียว ครั้นเมื่อได้รับคำพยากรณ์ลายมือเหล่านี้จาก มร.ไคโร แล้ว ได้นำมาสอบประวัติของเจ้าของรายมือเพื่อเปรียบเทียบกับ คำพยากรณ์ของ มร.ไคโร ปรากฏ การณ์พยากรณ์ของ มร.ไคโร ถูกต้องใกล้เคียงความจริงกับชีวะประวัติของบุคคลเจ้าของลายมือ ประมาณ ร้อยละเก้าสิบห้า โดยที่ มร.ไคโร ไม่เคยรู้จักว่าบุคคลที่ตนพยากรณ์ไปนั้นเป็นผู้ใด แม้แต่นักโทษที่ถูก ประหารชีวิตในบั้นปลายชีวิต มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้อง และนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษจำคุกตลอด ชีวิตและตัวยังมีชีวิตอยู่ มร.ไคโร ก็พยากรณ์ได้ถูกต้องแม่นยำ การที่ มร.ไคโรสามารถพยากรณ์เหตุการณ์ ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของแต่ละบุคคลที่ถูกต้อง จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ยอมรับวิชาพยากรณ์ลายมือ เป็นศาสตร์ๆ หนึ่งนั้น ก็เพราะ มร.ไคโรสามารถอ่านลายลักษณ์ต่างๆ ในฝ่ามือของบุคคลแต่ละคน ซึ่งกายทิพย์ของบุคคลนั้น แสดงปรากฏการณ์ไว้อย่างละเอียดถูกต้อง
    ๑. กายทิพย์คืออะไร? (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY)
    ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ (PHYSICAL BODY) นั้นต่างหลักวิทยาศาสตร์ ทางฟิสิคส์ทางกายภาพ และชีวะภาพนั้น ได้ศึกษาค้นคว้าเพียงร่างกายหยาบ (PHYSICAL BODY) ของมนุษย์เท่านั้นส่วนกายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) ของมนุษย์ซึ่งซ้อนอยู่ในกายหยาบอีกชั้นหนึ่งทางวิทยาศาสตร์ ยังศึกษาค้นคว้าเข้าไปไม่ถึง กายทิพย์ของมนุษย์ก็คือ กายอีกกายหนึ่งได้ซ้อนอยู่ภายในกายหยาบ ของมนุษย์นั่นเองและกายทิพย์นี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เกี่ยวด้วยสภาวะชีวิตของบุคคลแต่ละคน ปรากฏการณ์เกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์นี้ ทางวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถให้คำตอบได้โดยตรง เพียงแต่ ให้ข้อสมมุติฐานว่าเกิดจากอำนาจจิตบ้าง เกิดจากอำนาจของประสาทที่หกบ้าง แม้นักวิทยาศาสตร์ทางจิต เช่นศาสตราจารย์ เจ. บี ไรน์ แห่งมากวิทยาลัยดุคย์และคณะ ซึ่งได้ค้าคว้าไปถึงขึ้นปรจิตวิทยา (PARAPSYCHOLOGY) ก็ตาม แต่ก็ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับปรากฏการณ์ของกายทิพย์ ให้บางกรณีว่าเกิด จาก อำนาจญาณพิเศษ (EXTRA SFNSORYPERCEPTION)นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้ได้ประพันธ์วิทยานิพนธ์ เกี่ยวด้วยเรื่องปรจิตวิทยา (PARA PSYCHOLGY) ไว้หลายเล่นด้วยกัน ซึ่งวิทยานิพนธ์เหล่านี้ สถาบันทาง วิทยาศาสตร์ทางจิตทั่วโลกยอมรับรอบแล้วก็ตาม แต่ข้อความในวิทยานิพนธ์เหล่านี้เท่าที่ข้าพเจ้าได้ศึกษา ค้นคว้ามาแล้ว ไม่ปรากฏว่าได้กล่าวถึงกายทิพย์ของมนุษย์ไว้ตอนใดเลย แต่ตามหลักโยคะศาสตร์นั้น ถือว่าวิชากายทิพย์ หรือฮูเลียราบัด นี้เป็นวิทยาการสำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง เกี่ยวด้วยสภาวะธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ และผู้ที่ศึกษาวิชาโยคะศาสตร์ชั้นสูง ตั้งแต่ญาณโยคีขึ้นไป จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องศึกษาค้นคว้า วิชากายทิพย์ของมนุษย์โดยละเอียด ลักษณะของกายทิพย์ของมนุษย์ (ASTRAL BODY)นั้นมีลักษณะเป็นกายละเอียด เป็นรูปการรวมตัวของอีเทอร์ (ETHEREAL FORM) หรือการรวมของอนู เป็นรูปวัตถุโปร่งแสงไม่อาจจับต้องได้ และไม่อาจแลเห็นด้วยตาเปล่า เว้นแต่บุคคล บางคนฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่ง จิตของบุคคลผู้นั้นบรรลุถึงวิสุทธิจิตขั้นโลกียฌาณขั้นสูง (CPSMIC SUPER CONSCIOUSNESS) หรือบรรลุขั้นญาณโยคี จึงจะสามารถมองเห็นกายทิพย์ของตนเองและของผู้อื่นได้และ บางคนหากฝึกจิตให้มีพลังงานเข็มแข็ง อาจจะส่งกายทิพย์ของตนไปให้ผู้อื่นเห็นได้ทั้งเวลาหลับและตื่น ใน ระยะไกลเท่าใดก็ได้โดยไม่จำกัดระยะทาง ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้น (PAUL BRUNTON) ได้ เดินทางไปค้นคว้าความลึกลับในประเทศอินเดีย ได้ประสพการณ์โยคีองค์หนึ่งชื่อมหาฤาษีได้ถอดกายทิพย์ จากอาศรม เชิงเขาหิมาลัย มาพบกับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้นเวลาตื่นๆ ณ ที่พักในโรงแรมแห่งหนึ่งในเวลา กลางคืนและกายทิพย์ของโยคีผู้นั้น ได้สนทนาปัญหาเรื่องปรัชญา กับศาสตร์จารย์พอลบรันตั้น ต่อจากตอน ที่ได้สนทนากันเมื่อตอนกลางวัน ท่านอาจารย์ผู้นี้ ได้กล่าวถึงเรื่องราวลึกลับเหล่านี้ไว้เป็นหลักฐาน ในหนังสือ เรื่อง A Search In Secret India ร่างกายของมนุษย์เรา (PHYSIBAL BODY) ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า ธรรมชาติได้แบ่ง ร่างกายมนุษย์ไว้ ๓ ขั้นคือ
    ก. กายหยาบ หรือร่างกายของเราซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า และสามารถจับต้องได้(PHYSICAL BODY)
    ข. กายทิพย์ (ASTRAL BODY OR SUBTLE BODY) คือกายละเอียดแบบรูปอนูรวมตัวหรือรูป แบบอีเทอร์ (ETHEREAL FORM) กายทิพย์ของมนุษย์นั้นได้ตั้งซ้อนอยู่ภายในกายหยาบอีกชั้นหนึ่ง และธรรมชาติ ของกายทิพย์นี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับกายหยาบและชีวิตของมนุษย์ทุกคน และกายทิพย์ของมนุษย์ จะแสดงปรากฏการณ์ของวิบากกรรม ทั้งในปัจจุบันและอนาคตให้บุคคลผู้นั้นทราบล่วงหน้า ก่อนที่บุคคล ผู้นั้นจะได้รับผลแห่งกรรมนั้นทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว และพลังงานของวิบากกรรมของผู้นั้นจะเป็นแรงส่ง ให้กายทิพย์พาวิญญาณผู้นั้นไปเกิดในภพใหม่ เมื่อหลังจากมรณะกรรมไปแล้ว นอกจากนั้นพลังงาน ของอดีตกรรมจะให้ผลในทางปรุงแต่งกายทิพย์ ของบุคคลที่สร้างกรรมดีให้มาเกิด ในรูปร่างสวยสดงดงาม และสง่าผ่าเผย ส่วนผู้ที่สร้างกรรมชั่วผลแห่งกรรมย่อมปรุ่งแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่ว ขาดบุคคลิกภาพ เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ ที่จะมาเกิดในภพใหม่ให้มีรูปชั่วขาดบุคลิกภาพ เมื่อพลังงานของอดีตกรรมปรุงแต่งกายทิพย์ในลักษณะใดแล้ว กายหยาบของผู้นั้นย่อมมีสภาพเช่นเดียว กับกายทิพย์ทุกประการ นอกจากนั้นกายทิพย์ของบุคคลนั้น ยังมีหน้าที่เป็นพาหะ และเปลือกของปฏิสนธิ วิญญาณในการที่จะนำจุติและปฏิสนธิอีกด้วย
ค. ดวงวิญญาณ หรือปฏิสนธิวิญญาณของมนุษย์ หรือคันธัพโพ (SPIRIT, SOUL, EGO, PSYCHICAL ELFMENT) ซึ่งตั้งซ้อมภายในกายทิพย์และสิงสถิตย์อยู่ที่ต่อม "นอสูรนลาห์" ต่อมนี้แพทย์แผนปัจจุบัน เรียกว่า "ต่อมเมดัลลา" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมันสมองเหนือท้ายทอย
ง. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น จะขยายตัวให้เล็กหรือใหญ่ได้โดยอัตโนมัติขณะที่เป็นพาหะนำปฏิสนธิวิญญาณ เข้าปฏิสนธิในครรภ์มารดานั้น กายทิพย์และวิญญาณของบุคคลนั้นจะเข้ารวมตัวกับเซลของตัวอ่อนของทารก และกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะช่วยปกปักรักษาเซลของตัวอ่อนของทารกให้เจริญเติบโต จนกระทั่งครบ กำหนดคลอด และเซลของทารกนี้จะวิวัฒนาการกลายมาเป็นต่อมนอสูรนลาห์ หรือเมดัลลาในภายหลัง และเมื่อทารกได้คลอดออกจากครรภ์มารดาในระยะ ๑ ถึง ๔๕ วัน กายทิพย์ของทารกผู้นั้นก็จะคอยคุ้มครอง ทารกผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ของทารกในระยะคลอดใหม่ๆ ชาวไทยเราสมมุติ ชื่อให้ว่า "แม่ซื้อ" การปรากฏการณ์ของกายทิพย์ต่อทารกในระยะนี้จะสังเกตุเห็นกริยาของทารก บางครั้ง มีกิริยายิ้มแย้ม แสดงความพึงพอใจ ประหนึ่งว่ามีผู้มาหยอกล้อ
     ๒. กายทิพย์ของมนุษย์นั้นมีหน้าที่เกี่ยวข้องความสัมพันธ์กับกายหยาบของบุคคลนั้น ตลอดเวลาที่ผู้นั้นมีชีวิตอยู่และมีหน้าที่แจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้นั้นทราบล่วงหน้า หากวิบากกรรมดีหรือกรรม ชั่วจะให้ผลแก่บุคคลผู้นั้น โดยวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นจะสร้างภาพต่างๆ ให้กายทิพย์ทราบโดยทางนิมิต บางครั้งก็แสดงปรากฏออกทางใบหน้าท่าทางต่างๆ ผิดปกติหรือบางครั้งก็แสดงปรากฏการณ์ต่างๆ ทางฝ่ามือ หรือ ณ ที่แห่งอื่นๆ ของกายหยาบ
     ๓. กายทิพย์ของมนุษย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น คือเป็นเปลือก (SHEEL) และพาหะ (SPRITUAL CONVEYANCE) ของปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น และมีหน้าที่นำ ปฏิสนธิวิญญาณ ของบุคคลผู้นั้นจุติและปฏิสนธิอยู่ตลอดไป หากบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุถึงนิพพาน ระหว่างที่ กายทิพย์พาวิญญาณออกจาร่างกหยาบในขณะที่บุคคลผู้นั้นจะตื่นหรือหลับก็ตาม จะมีสายใยชีวิตเชื่อมโยง ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ(VITAL EOREC CORD) หากสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายทิพย์ กับกายหยาบ ขาดออกจากกันเมื่อใด แล้วบุคคลผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที
      ๔. กายทิพย์มีหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับกฏแห่งกรรมดังต่อไปนี้คือ
     ก. กายทิพย์ของมนุษย์นั้น ตามหลักของโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่าอยู่ปัจจุบันกรรมอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากกระแสร์คลื่นของกรรมแต่ละบุคคลได้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงของกะแสร์คลื่น ของกรรมนี้เองกายทิพย์ย่อมจะรู้ล่วงหน้าว่า กระแสร์คลื่นแห่งกรรมเหล่านี้จะให้ผลแก่ผู้ก่อกรรมเมื่อใด เมื่อกายทิพย์ทราบเหตุล่วงหน้าของกระแสร์ของวิบากกรรมจึงแจ้งเหตุเหล่านี้มายังกายหย าบ ของบุคคล ผู้นั้นทันที หากบุคคลผู้นั้นฝึกจิตบรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง กายทิพย์จะบอกเหตุการณ์เหล่านั้นโดยปรากฏ การณ์ต่างๆ ทางจิตให้ผู้นั้นทราบ ตัวอย่างเช่น คณาจารย์บางท่านทราบวันมรณะภาพของตนได้อย่างถูกต้อง หากบุคคลผู้ฝึกจิต ยังไม่บรรลุฌาณสมบัติขึ้นสูง หรือบุคคลทั่วไป กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะบอกเหตุ ล่วงหน้าโดยทางฝัน หรือปรากฏการณ์อื่นๆ ดังได้กล่าวมาแล้วเมื่อใกล้จะมรณะพลังงานของวิบากกรรม ของบุคคลผู้นั้น จะสร้างภาพกรรมนิมิตให้ ปฏิสนธิ วิญญาณยึดเหนี่ยวก่อนกายทิพย์จะพาปฏิสนธิวิญญาณ ของบุคคลผู้นั้น ไปเกิดในภพใหม่และอิทธิพล ของคลื่นกระแสร์กรรมนี้ จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ ในทางดีหรือทางเลวในขณะปฏิสนธิในภพใหม่ด้วย การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกายทิพย์ของผู้นั้นจะมีผล ทางกายหยาบของผู้ที่มาเกิดในภพใหม่ เช่นผลของวิบากกรรมของบุคคลผู้นั้นส่งผลในทางชั่ว กายทิพย์ ของผู้นั้นก็จะวิกลวิกาล กายหยาบของบุคคลผู้นั้นเกิดมาย่อมมีรูปร่างลักษณะวิกลวิกาลด้วย หากผลของ วิบากกรมให้ผลในทางดี กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้นจะมาเกิดในภพใหม่ย่อมมีรูปร่างงดงามสง่า มีบุคคลิก ลักษณะดี กายหยาบของบุคคลผู้นั้นย่อมรูปร่างงดงามสง่าและมีบุคลิกดีด้วย บางขณะกายทิพย์ของบุคคล บางคนได้ออกจากร่างในขณะที่ผู้นั้นยังตื่นอยู่และไปเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นจริง ครั้นกายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น กลับเข้ากายหยาบบุคคลผู้นั้นได้สติบางรายถึงกับร้องเอะอะโวยวาย ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เหมือน หนึ่งกายหยาบของตนได้ไปประสพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ตัวอย่างเช่นนางเอม่า สจ๊อต มีภูมิลำเนาอยู่ ณ เมือนแอนโตนิโอ มลรัฐเท็กซัสสหรัฐอเมริกา ในต้นปี ค.ศ. ๑๙๓๘ นาย ซี.พี. สจ๊อต สามีของนาง มีอาชีพเป็นต้นหนของเรือเดินสมุทรลำหนึ่งเดินทางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอเมริกาใต้ ครั้นวันที่ ๓๐ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๓๘ นางสจ๊อตกำลังนั่งเย็บผ้าในห้องนั่งเล่นเวลาประมาณ ๑๑.๐๐ น. นางสจ๊อตได้เห็นภาพสามีตน ถูกกลาสีในเรือเดินสมุทรลำนั้นใช้อาวุธปืนสั้นยิงศีรษะถึงแก่กรรมในห้องเก็บพัสดุ นางจึงลุกขึ้นร้องโวยวาย ขอร้องให้ชาวย้านใกล้เคียงช่วยเหลือ ขณะที่นางเห็นภาพเหตุการณ์ ซึ่งสามีของนางประสพเคราะห์กรรมนั้น เรือเดินสมุทรลำนั้นกำลังเดินทาง ห่างจากฝั่งของสหรัฐอเมริกาประมาณ ๒๐๐ ไมล์เศษครั้นต่อมาหลังจากที่ นางได้เห็นเหตุการณ์ของสามีประมาณ ๔ ชั่วโมง นางจึงได้รับโทรเลขแจ้งข่าวร้ายจากเรือเดินสมุทรลำนั้นว่า สามีของนางได้ถูกกลาสีเรือใช้ปืนยิงถึงแก่ความตาย ในวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๑๙๓๘ เวลา ๑๑.๐๐ น. จริง ข่าวของนางสจ๊วตได้เห็นภาพสามีประสพเคราะห์กรรมในเรือเดินสมุทร ซึ่งเดินทางห่างจากฝั่งถึง ๒๐๐๐ ไมล์นั้นนักวิทยาศาสตร์ทางจิตแห่งสหรัฐอเมริกาได้บันทึกไว้เป็นหลักฐานในเอกสารของสม าคมค้นคว้า ทางจิต และวิจัยมีความเห็นว่านางสจ๊วตเห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เพราะประสาทที่หกของนาง ส่วนนักจิตวิทยา ในกลุ่มของศาสตราจารย์ เจ.บี. ไรน์ มีความเห็นว่าการเห็นภาพเหตุการณ์ของสามีของนางได้ถูกต้องตรง กับความจริงนั้น เพราะญาณพิเศษ (EXTRASENSORY PERCEPTION) ของนาง แต่ตามหลักโยคะศาสตร์ ให้คำตอบได้ว่า "ขณะที่สามีของนางถูกยิงก่อนวิญญาณจะออกจากร่างได้โทรจิตติดต่อมาให้นางทราบ ขณะที่มีโทรจิตติดต่อมานั้นกระแสร์จิต ของสามีของนางมีความแรงกว่าปกติเป็นเพราะกระแสจิตครั้งสุดท้าย ก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่าง เมื่อนางสจ๊วตได้รับสัมผัสทางกระแสร์จิตจากสามีแล้วกายทิพย์ของนาง จึงแยกออกจากกายหยาบ โดยนางไม่รู้สึกตัวและกายทิพย์ของนางติดตามกระแสร์จิตของสามีไปยังที่ เกิดเหตุ ในทันทีทันใด นางจึงเห็นภาพสามีถูกฆาตรกรรมเหมือนกับกายหยาบไปเห็นเหตุการณ์มาด้วย ตนเอง ครั้งกายทิพย์กลับเข้ากายหยาบตามเดิมแล้ว นางจึงรู้สึกตัวร้องเอะอะโวยวายของความช่วยเหลือ จากเพื่อนบ้างใกล้เคียง
       ประเพณีโบราณของชาวอินเดียวบางกลุ่มใช้วิธีต้อนรับกายทิพย์ด้วยบายศรีษะและผูกข้อมือ ด้วยสาย สิญจน์ ประเพณีเหล่านี้ได้ตกทอดมายังประเทศไทย ซึ่งบางจังหวัดในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ต้อนรับบุคคลสำคัญ หรือผู้มีอายุบางคนด้วยพิธีสู่บางศรีและผูกสายสิญจน์ข้อมือ การที่ต้อนรับบุคคล บางคนด้วยบายศรีและสายสิญจน์นั้น ตามหลักโยคะศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า บายศรีเป็นเครื่องสูง และเป็น เครื่องสัการะบูชาเทพย์เท่านั้น หากบุคคลผู้ใดได้รับการสักการะบูชาด้วยบายศรีแล้ว กายทิพย์ของบุคคลผู้นั้น จะบังเกิดความอิ่มเอิบปิติยินดีเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันผู้นั้นจะเกิดพลังงานลึกลับทางจิตโดยผู้นั้น ไม่รู้สึกตัว เช่นเกิดความรู้สึกว่าร่างกายพองใหญ่ขึ้นกว่าเดิม บางขณะประเพณีของอินเดียโบราณได้กล่าว มาแล้ว มักจะกระทำการต้อนรับแก่บุคคลสำคัญๆ เท่านั้น เช่นกษัตริย์ผู้ครองนคร หรือกุฏราชกุมารหรือมเหษี ของพระมหากษัตริย์เป็นต้น นอกจากนั้นมักจะทำพิธีต้อนรับนักรบที่กระทำการรบได้ชัยชนะแก่ข้าศึก แต่ บางกรณีใช้พิธีแก้ผู้เสียขวัญโดยประสพการณ์บางอย่างและเกิดความตกใจกลัวถึงขนาด ก็อาจใช้พิธีต้อนรับ กายิพทย์ด้วยบายศรีบ้างเหมือนกัน ส่วนสายสิญจน์ที่ใข้ผูกข้อมือนั้นก็เพื่อใช้เป็นสื่อติดต่อ กับายศรีเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้กายทิพย์ของบุคคลนั้นได้รับรู้ว่าตนถูกต้อนรับบูชาด้วยบายศรี 
     ผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิจนกระทั่งบรรลุฌาณสมาบัติชั้นสูงแล้ว อาจจะถอดกายทิพย์ของตนเอง ออกจาก กายหยาบและสามารถท่องเที่ยวไปในระยะทางไกลๆ โดยไม่จำกัดระยะทางและสามารถพากายทิพย์ของ ผู้อื่นออกจากกายหยาบออกไปท่องเที่ยวไปในอวกาศได้ ดังตัวอย่างศาสตราจารย์พอลบรันตั้นได้ประสพ เหตุการณ์เหล่านี้ด้วยตัวเองมาแล้ว กล่าวคือโยคีมหาฤษีได้ถอดกายทิพย์ของศาสตราจารย์พอลบรันตั้น ขึ้นไปท่องเที่ยวในอวกาศ ชั่วขณะหนึ่ง ท่านศาสตราจารย์ผู้นี้ได้กล่าวไว้เป็นหลักฐานในหนังสือชื่อ A SEARCH IN SECRET INDIA
ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้นว่า ตามหลักโยคะศาสตร์กล่าวว่า ระหว่างที่มนุษย์มีชีวิตอยู่ในขณะที่ กายทิพย์พาวิญญาณออกจากร่าง ทั้งเวลาหลับเวลาตื่นก็ดี จะมีสายใยชีวิต (VITAL FORCE CORD) เชื่องโยงระหว่างกายทิพย์และกายหยาบเหมือนเส้นใยแมลงมุม และเส้นใยชีวิตนี้จะยืดออกไปไกลได้ โดยไม่จำกัดระยะความยาว และเส้นใยชีวิตนี้จะบังคับปราณต่างๆ ในร่างกายให้ทำงานโดยปกติ เช่น หัวใจก็จะสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้ทำงานโดยปกติ ปอดก็จะทำหน้าหายใจตามปกติ เว้นแต่ ผู้ฝึกจิตบรรลุสมาบัติขั้นสูงแล้ว หากจะบังคับกายทิพย์ของตน ออกจากร่างกายหยาบในเวลาตื่นๆ หัวใจก็ดี ปอดก็ดี วงจรของโลหิตของบุคคลผู้นั้นจะทำงานน้อยกว่าปกติ หากผู้ใดฝึกจิตทางสมาธิบรรลุถึงขึ้นจตุถฌาณ แล้ว เวลาถอดกายทิพย์ออกจากกายหยาบ ปอดของบุคคลผู้นั้น ทำงานน้อยที่สุด เกือบจะหยุดเอาเลย หัวใจก็เกือบจะหยุดเต้น วงจรของโลหิตก็จะหมุนเวียนช้าลง พวกโยคีที่บรรลุถึงขั้นจตุถฌาณสามารถบังคับ ปอดและหัวใจของตนให้หยุดทำงานได้นั้น ข้าพเจ้าเคยฟังจากปากคำมหาเศรษฐีทอดสลิค เมื่อคราวที่มหา เศรษฐีผู้นี้เดินทางเข้าพบกับข้าพเจ้า และนายแพทย์เชียรฟังว่า ท่านได้ทดลองให้โยคีบางองค์ในอินเดีย บังคับปอดให้หยุดทำงานโดยใช้เครื่องอีกเล็คตรอนิค และนายแพทย์ในคณะของท่านตรวจสอบ ปรากฏว่า โยคีเหล่านี้สามารถบังคับปอดให้หยุดทำงานครั้งหนึ่ง เป็นเวลาถึง ๑ ชั่วโมง ขณะที่ปอดของโยคีผู้นั้น หยุดหายใจนั้น นอกจากจะใช้เครื่องมือทางอีเล็คตรอนิคตรวจสอบแล้วยังได้ใช้แผนกกระจกรองที่รูจมูก ของโยคีผู้นั้นตลอดเวลา ปรากฏว่าที่แผ่นกระจกไม่มีไอน้ำออกมาเลย แสดงว่าโยคีผู้นั้นสามารถบังคับปอด ของตนให้หยุดทำงานได้จริงๆ และต่อมานายทอมสลิคขอให้โยคีผู้นั้นบังคับหัวใจให้หยุดเต้นโดยใช้ เครื่องมืออีเล็คตรอนิค วัดการเต้นของหัวใจประกอบ และให้นายแพทย์คอยจับชีพจรของโยคีผู้นั้นอยู่ ตลอดเวลา ปรากฏว่าเข็มซึ่งแสดงการเต้นของหัวใจในเครื่องมืออีเล็คตรอนิคหยุดสนิทไม่เต้นขึ้นเต ้นลง เป็นเส้นขีดไปเฉยๆ และการตรวจสอบชีพจรของนายแพทย์ก็ปรากฏว่าชีพจรของโยคีผู้นั้นเต้นแผ่วเบาลง จนกระทั่งหยุด แสดงว่าหัวใจของโยคีผู้นั้น หยุดสนิทลงเป็นเวลากว่า ๓๐ นาที และต่อจากนั้นเมื่อโยคี ผู้นั้นลืมตาขึ้นปอดและหัวใจก็เริ่มทำงานเป็นปกติ นายแพทย์ผู้ที่ได้ร่วมทดสอบกับนายทอมสลิคได้ตรวจ อาการของโยคีผู้นั้น ในเวลาต่อมาก็ไม่ปรากฏว่ามีอาการผิดอย่างไรเกี่ยวกับร่างกายของโยคีผู้นั้น
      นายทอมสลิคได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าได้ถ่ายภาพยนต์เรื่องราวเหล่านี้ไว้โดยละเอียดทุ กแง่ทุกมุม เพราะเป็นปรากฏการณ์ทางจิตชนิดหนึ่งซึ่งได้กล่าวไว้ในตำราโยคะศาสตร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ทางตะวันตกยังไม่มีผู้ใดค้นคว้าเข้าไปถึง และไม่สามารถจะปฏิบัติได้เช่น พวกโยคีในประเทศอินเดีย การที่ท่านมหาเศรษฐีผู้นี้ได้เดินทางมาพิสูจน์อิทธิปาฏิหาริย์ ของพวกโยคีในอินเดียดังกล่าวมาแล้ว ก็เพราะท่านสนใจในเรื่องราวลึบลับนี้ตั้งแต่ท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี และท่านได้ค้นคว้าประมาณ ๓๐ ปี และพยายามนำเครื่องทางวิทยาศาสตร์มาใช้ประกอบในการค้นคว้าทดลองด้วยทุกครั้ง การที่ข้าพเจ้า ไว้นำเรื่องราวการทดสอบของมหาเศรษฐีทอมสลิคมากล่าว ณ ที่นี้ก็เพื่อแสดงให้ให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ ที่กล่าวไว้ในหลักโยคะศาสตร์นั้น สามารถพิสูจน์ทดสอบได้ทางหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หาใช่เป็น เครื่องที่กล่าวไว้โดยปรากศจากมูลความจริงไม่ หลักฐานต่างๆ ซึ่งได้กล่าวไว้ในปรัชญาและคำสอน ของโยคะศาสตร์นั้น ท่านมหาเศรษฐีทอมสลิคผู้นี้ก็มีความสนใจเป็นอย่างมาก ถึงกับเดินทางมาพิสูจน์ ข้อเท็จจริงเหล่านี้กับพวกโยคีในประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๕ เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยใช้ นักวิทยาศาสตร์และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องประกอบในการพิสูจน์ด้วยทุกครั ้ง และได้ข้อมูล หลักฐานมากมายที่เชื่อถือได้ หลักปัชญาและคำสอนต่างๆ ของโยคะศาสตร์ก็ดี ของพุทธศาสนาก็ดี ยังเป็นเรื่องราวลึกลับซึ่งไม่สามารถจะนำหลักวิทยาศาสตร์และนักปรัชญาได้ยอมยกระดับไ ว้ในชั้นวิชา
"ปรัชญา" (METAPHYSIC) ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราจะต้องค้นคว้าและนำออกมาตีปแผ่ต่อประชาชนต่อไป
      ๕. ทรรศนะของพุทธศาสนายอมรับว่ากายทิพย์มนุษย์มีจริงหรือไม่นั้น
ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าในหลักฐานพระสูตรต่างๆ ของพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้วได้พบข้อความตอนหนึ่ง ในสามัญญผลสูตรซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสเรื่องราวเกี่ยวกับกายทิพย์ของมนุษย์ความว่า
     "บุคคลผู้ถอกกายทิพย์ของตนออกจากายหยาบได้นั้น เสมือนหนึ่งการถอดไส้ของหญ้าปล้อง" และกายทิพย์ของมนุษย์หรือกายทิพย์ของพวกโอปปาติกะนั้น ศัพย์ทางพุทธศาสนาเรียกว่า "อทิสมานกาย" หรือแปลว่ากายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เรื่องราวของกายทิพย์ของมนุษย์นั้นทรรศนะ ของพุทธศาสนา ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงตามที่ได้กล่าวไว้ในวิชาโยคะ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ทรงเห็นว่าเป็นเรื่องของโลกียวิชา ไม่จำต้องนำมากล่าวไว้ในหลักธรรมของพุทธศาสนา และอีกประหนึ่ง เป็นเรื่องลึกลับยากที่บุคคลธรรมดาจะเข้าใจได้ เว้นแต่ผู้ที่ปฏิบัติจิตทางสมาธิ จนกระทั่ง บรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วเท่านั้น จึงสามารถล่วงรู้และเข้าใจสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ได้ ดังเช่น ตัวอย่างภิกษุในพุทธศาสนาบางองค์ซึ่งสามารถรู้วันมรณะกรรม ล่วงหน้าดังกล่าวมาแล้ว
เรื่องสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่างกายหยาบและกายทิพย์ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว ว่ามีความสำคัญ อย่างยิ่งในการที่จะบังคับปราณต่างๆ ให้ทำงาน ตามปกติในขณะที่กายทิพย์พาวิญญาณแยกออก หาก เส้นใยชีวิตขาดสบั้นออกจากกันเมื่อใดแล้ว ผู้นั้นจะถึงแก่กรรมทันที่ ฉะนั้นข้าพเจ้าใคร่ขอเตื่อนผู้ที่ฝึกจิต ทางสมาธิใหม่ๆ หรือผู้ที่ฝึกจิตทางสมาธิสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากรรมมัฏฐานบางท่านกับคณาจารย์ ที่ไม่มีความรู้ถึงสภาวะธรรมชาติของกายทิพย์ และวิญญาณของมนุษย์เมื่อศิษย์ของตนได้สมาธิเพียงขั้นต้น ก็เริ่มพากายทิพย์และวิญญาณออกท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ โดยใช้กายทิพย์ของตนเป็นผู้พา ครั้นศิษย์ผู้นั้น อยู่ลำพังก็เกิดการอย่างรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆ ซึ่งตนไม่เคยเห็นด้วยตาเปล่า จึงถอดกายทิพย์ของตน ออกท่องเที่ยวโดยลำพัง หากศิษย์ผู้นั้นฝึกจิตทางสมาธิยังไม่ได้โดยสมบูรณ์ กายทิพย์ของศิษย์ผู้นั้น ได้ออกจากกายหยาบไปไกลเกินกว่าพลังงานของจิตจะควบคุมถึงสายใยของตนได้ เส้นสายใยชีวิตอาจจะ ขาดสบั้นลงได้ และศิษย์ผู้นั้นก็จะถึงแก่กรรมทันที ถึงเรามักจะได้ยินข่าวเสมอว่าบางท่านนั่งทางฝึกจิต ทางสมาธิตามหลักสมถกัมมัฏฐาน หรือวิปัสนากัมมัฏฐานได้ถึงแก่กรรมไปเฉยๆ ในขณะที่นั่งฝึกจิตทางสมาธิ ทั้งๆ ที่ท่านผู้นั้นไม่เคยเจ็บป่วยมาก่อนเลย การชันสูตร์ศพตามหลักแพทย์แผนปัจจุบันก็คงสรุปความเห็นว่า ผู้นั้นถึงแก่กรรมโดยหัวใจวาย " แต่เรื่องราวซึ่งลึกลับซับซ้อนเกี่ยวกับสายใยชีวิตซึ่งเชื่อมโยงระหว่าง กายทิพย์กับกายหยาบได้ขาดสบั่นลง เนื่องจากบุคคลผู้นั้นออกท่องเที่ยวไปในระยะไกลเกินสมควร ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ทำให้ผู้นั้นมรณะกรรมนั้น แพทย์แผนปัจจุบันไม่มีทางทราบได้เลย แต่การมรณะกรรม ของบุคคลผู้เคราะห์ร้ายในแบบนี้ หากขอร้องให้ผู้เชี่ยวชาญทางฌาณสมาบัติตามกายทิพย์ผู้นั้นให้กลับคืน เข้ากายหยาบและต่อเส้นใยชีวิต ให้ติดตามเดินผู้นั้นอาจกลับฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกก็ได้ บุคคลที่ประสพมรณะกรรม ลักษณะดังกล่าวมาแล้วอาจารย์โยคีของข้าพเจ้าท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเคยช่วยชีวิตบุคคลเหล่านี้ให้กลับฟื้น ชีวิตมาแล้วหลายรายด้วยกัน หากแจ้งเหตุให้ท่านทราบทันก่อนที่กายหยาบของบุคคลผู้นั้นจะเสื่อมสลาย เสียก่อน แต่สำหรับผู้ที่ฝึกจิตบรรลุถึงขั้นฌาณสมาบัติขั้นสูงแล้วย่อมมีพลังงานทางจิตควบคุมส ายใยชีวิต ของตนได้ แม้กายทิพย์จะพาวิญญาณแยกออกจากกายหยาบเป็นระยะไกลสักเพียงใดก็ตาม สายใยชีวิต ของบุคคลผู้นั้นจะไม่มีวันขาดสบั้นอย่างเด็ดขาดเพราะสามารถบังคับควบคุมกายทิพย์ของต น ให้กลับเข้า ร่างกายหยาบเมื่อไรก็ได้ตามแต่จิตปราถนา
      ตัวอย่างเช่นโยคีบางคนในประเทศอินเดียสามารถฝังตัวเองลึงลงใต้พื้นอินถึง ๑๐๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน ครั้นเมื่อครบกำหนดแล้วสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้นขึ้นมากระทำปฐมพยายาลเพียงชั่ วครู่เดียว โยคีผู้นั้นก็กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาตามเดิม การที่โยคีเหล่านี้สามารถฝังตัวเองอยู่ภายใต้พื้นดินที่ลึกถึง ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้นั้น เมื่อพิจารณาตามหลักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์กายภาพ และชีวะภาพแล้ว ย่อมจะไม่อาจให้คำตอบได้ว่า เหตุใดมนุษย์เราขาดอาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นสำหรับ หายใจเป็นเวลาถึง ๖๐ วัน จึงยังไม่ถึงแก่กรรม เรื่องราวเหล่านี้เป็นเรื่องลึกลับมืดมนสำหรับหลักวิชาทาง วิทยาศาสตร์ หากเราได้ศึกษาค้นคว้าวิชาโยคะแล้วเราก็อาจให้คำตอบได้ทันที กล่าวคือการที่โยคีบางคน สามารถฝังตัวเอง อยู่ใต้ฟื้นดินลึก ๑๐ ฟุต เป็นเวลาถึง ๖๐ วัน โดยไม่ต้องรับประทานอาหารและน้ำและ ไม่ต้องการอาหารและน้ำ และไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นสำหรับหายใจเลย แต่ก็มีชีวิตอยู่ได้ตลอดมา ก็เพราะ โยคีเหล่านี้ฝึกจิตของตนบรรลุฌาณสมาบัติขั้นสูง และสามารถแยกกายทิพย์และวิญญาณของตนออกจาก กายหยาบชั่วขณะหนึ่งระยะที่กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นแยกออก ระหว่างกายทิพย์กับกายหยาบ บังคับให้ปราณในร่างกายทำงานตามปกติ แต่ทำงานอ่อนลงเกือบจะหยุด เช่นปอดและหัวใจทำงานช้าลง เกือบจะหยุด เมื่ออวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายถูกบังคับให้ทำงานช้าลงและน้อยลงกว่าปกติหลายสิบเท่า ปอดก็ไม่ต้องการอ๊อกซิเย่นเพิ่มเติมไปเลี้ยงร่างกายอีก และหัวใจเต้นช้าลงเกือบจะหยุดวงจรโลหิตก็ ไหลเวียนช้าลง ร่างกายจึงไม่ต้องการอาหารและน้ำเข้าหล่อเลี้ยงร่างกายชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างที่อวัยวะ ต่างๆ ถูกบังคับให้ทำงานช้าลงกว่าปกติหลายสิบเท่านั้น ก็ไม่ต้องการสิ่งที่ร่างกายต้องการเพิ่มเติมเข้าไปอีก แต่ในระยะนี้ร่างกายได้สิ่งต่างๆ ที่ร่างกายต้องการที่มีอยู่เดิมหล่อเลี้ยงร่างกาย ไปชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างนั้น ชีวิตของโยคีผู้นั้น จึงดำรงค์อยู่ได้ไม่แตกดับ ครั้นเมื่อครบกำหนดวันนัดหมายสานุศิษย์ได้ขุดร่างโยคีผู้นั้น มาจากพื้นดิน กายทิพย์และวิญญาณของโยคีผู้นั้นก็กลับเข้าในร่างเดิม อวัยวะทุกส่วนของร่างกายก็เริ่ม ทำงานตามปกติ โยคีผู้นั้นก็จะฟื้นคืนสติตามเดิม สิ่งสำคัญที่สานุศิษย์จะต้องช่วยเหลือโดยด่วน ก็คือการทำ ปฐมพยาบาล โดยใช้น้ำมันระกำชโลมให้ทั่วตัวเพื่อช่วยให้วงจรของโลหิตเดิมสะดวก และอาหารครั้งแรก ที่รับประทานก็คือน้ำส้มคั้น ผสมน้ำอุ่นๆ เพื่อ ช่วยกระตุ้นหัวใจและร่างกายทั่วไปให้เกิดความสดชื่น แต่มี บางรายเมื่อขุดจากพื้นดินเมื่อถึงกำหนดนัดแล้วโยคีผู้นั้นกลับถึงแก่กรรมไปเลยก็มี ทั้งนี้ เพราะโยคีผู้นั้น ยังมีกะแสร์จิตเข้มแข็งไม่พอจะบังคับสายใยชีวิตและกายทิพย์ของตนได้กายทิพย์และวิญญา ณจึงกลับ เข้าร่างหยาบก่อนกำหนดวัดนัดหมายที่จะขุดร่างขึ้นจากพื้นดิน เมื่อกายทิพย์และวิญญาณกลับเข้าร่างหยาบ ในขณะที่ร่างยังถูกฝังอยู่ใต้พื้นดินนั้น อวัยวะในร่างกายของโยคีผู้นั้นก็เริ่มทำงานตามปกติร่างกายจึงต้องการ อาหาร น้ำ และอ๊อกซิเย่นไปหล่อเลี้ยง เมื่อขาดสิ่งเหล่านี้ร่างกายของโยคีผู้นั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ต้องแตกดับ ไปในที่สุด


ประวัติเกจิอาจารย์ดัง: เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส
»เครื่องรางของขลังท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ
14-03-2010
»ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ตอน 3
14-03-2010
»ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ตอน 2
13-03-2010
»ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ตอน 1
13-03-2010
 
------------------------
  หน้าหลัก  
  คำถามที่มีการถามบ่อย  
  เราเล่นพระทำไม ?  
  กฎหมายพระเครื่อง  
  เกร็ดเล็ก-เกร็ดน้อย  
  สมัครเปิดร้านค้า  
  การชำระเงินค่าร้านค้า  
  ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง  
  ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับร้านค้า  
 
หน้าหลัก  อดีตสู่ปัจจุบัน  เว็บบอร์ดชมรม  ตารางประกวดพระ  สาระน่ารู้  เล่าสู่กันฟัง  ติดต่อเรา
Copyright©2024 zoonphra.com
Powered by Tactical IT