เว็บลิ้งค์ชมรมต่างๆ

เว็บไซต์วัดเกจิดังในสยาม
วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี
วัดหนองป่าพง จ. อุบลฯ
วัดเขาแหลม จ. สระแก้ว
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
วัดหัวป่า อ. ระโนด จ. สงขลา
วัดแก้วโกรวาราม จ. กระบี่
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
หลวงสมชาย วัดเขาสุกิม
ป้อนหมายเลขสิ่งของ


***พิมพ์หมายเลขสิ่งของจำนวน 13 หลัก

รายละเอียดเพิ่มเติม

  หน้าหลัก  :  อดีตสู่ปัจจุบัน  :  เว็บบอร์ดชมรม  :  ตารางประกวดพระ  :  สาระน่ารู้  :  เล่าสู่กันฟัง  :  ติดต่อเรา
ประวัติเกจิอาจารย์ดัง: หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๔
14-03-2010 Views: 6335
 

พระโพธิสัตว์

วันหนึ่งผู้เขียนไปหาท่าน คุย ๆ ไปท่านก็แบมือให้ดูพูดว่า

"ดูมือฉันสิ มันแปลกไม่มีข้อ"

ข้าพเจ้ามองดูก็แปลกใจเพราะไม่มีข้อพับ คือไม่มีรอยเป็นของพับเหมือนมือคนทั่ว ๆ ไป มันลื่นไปเหมือนลำเทียนอย่างนั้นแหละ

"เขาว่าลักษณะมือเหมือนพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี" หลวงพ่อพูด แล้วก็ยิ้ม มองตาข้าพเจ้าเป็นประกาย

ฟังดูเหมือนว่าหลวงพ่อเชื่อว่า ตัวท่านคือพระโพธิสัตว์ เกิดมาสร้างบารมี เพื่อบรรลุอรหันต์สัมมาสัมโพธิญาณ อย่างที่พระเจ้าตากสินท่านก็เคยตรัสว่า "ถ้าจะได้ตรัสพระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ขอให้ขว้างค้อนไปถูกเฉพาะระฆัง แล้วจะเอาไปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ"

เมื่อท่านขว้างค้อนไปถูกตรงนั้นจริง ๆ ต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ท่านก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ท่านนั้นคือพระโพธิสัตว์เกิดมาสร้างพระบารมี ท่านจึงบำเพ็ญพระจริยาวัตร เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ตลอดพระชนม์ชีพ ขอให้ไปอ่านพระราชพงศาวดารดูเถิด

อันที่จริง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไรเลยที่หลวงพ่อเงินเชื่อว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ อุบัติเกิดมาเพื่อสร้างบารมี เพราะพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์นี้ คือ นิกายดั้งเดิม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และทรงเน้นไว้มากด้วย ทรงเล่าว่าพระพุทธองค์ก็เคยเกิดเป็น พระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีมาแล้วหลายร้อยชาติ เคยเกิดมาในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ แม้ชาติใหญ่ ๆ 10 ชาติ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ สร้างพระบารมีทั้งสิ้น คือ

1.พระเตมีย์     (เต) บำเพ็ญ   เนกขัมมะบารมี  (เน)

2.พระมหาชนก  (ชะ)   "     วิริยะบารมี(วิ)

3.พระสุวรรณสาม (สุ)   "     เมตตาบารมี    (เม)

4.พระเนมิราช   (เน)   "     อธิษฐานบารมี   (อะ)

5.พระมโหสถ    (มะ)  "     ปัญญาบารมี    (ปะ)

6.พระภูริทัต     (ภู)   "     ศีลบารมี  (สิ)

7.พระจันทกุมาร  (จะ)  "     ขันติบารมี (ขะ)

8.พระนารท(นา)  "     อุเบกขาบารมี    (อุ)

9.พระวิฑูรบัณฑิต (วิ)   "     สัจจะบารมี (สะ)

10.พระเวสสันดร  (เว)  "     ทานบารมี (ทา)

ทั้ง 10 ชาติ 100 ชาติ 500 ชาติ ที่เคยอุบัติเกิดมาตั้งแต่สัตว์น้อย ๆ ขนาดนกกระจาบ ถึงสัตว์ใหญ่ เป็นช้างฉัททันต์ ล้วนแต่ทรงเกิดมาบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ 30 ทัศ ทั้งสิ้น

พุทธศาสนาเผยแพร่เข้ามาสู่ประเทศไทย แต่โบราณกาลมา ก็เน้นเรื่องนิกายพระโพธิสัตว์นี้ ขอให้ไปอ่านดู เรื่องไตรภูมิพระร่วงก็ดี พระมาลัยเทพสูตรก็ดี พระปฐมสมโพธิคาถาก็ดี ล้วนแต่ย้ำและเน้นเรื่องพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น

คือสอนเน้นย้ำว่า ชีวิตไม่ได้ตายแล้วสูญ ชีวิตไม่ได้สิ้นสุดลง เมื่อตายร่างกายแตกดับตอนเข้าโลงเท่านั้น ยังมีชีวิตสืบต่อไปเกิดในชาติ ภพหน้า ภูมิหน้า โลกหน้าอีก ไม่รู้จักสิ้นสุด

ชีวิตชาตินี้ เกิดมาจากผลบุญผลกรรมที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อน

ชีวิตชาติหน้า เกิดจากผลกรรมที่ทำไว้ในชาตินี้ คนจะไปเกิดดีเกิดชั่วอย่างไร ก็อยู่ที่ผลกรรมในชาตินี้ ผลบุญในชีวิตนี้ คนเกิดมาใช้กรรมเก่า เกิดมากินบุญเก่า

ทุกคนจึงเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ถ้าตั้งใจปรารถนา ตั้งปณิธานว่า จะเกิดมาเพื่อ บำเพ็ญบารมี 10 ประการคือ

1.ทานบารมี     บำเพ็ญทาน

2.ศีลบารมี สมาทานศีล

3.เนกขัมมบารมี  ออกบวช

4.ปัญญาบารมี   ทำวิปัสสนาภาวนา

5.วิริยบารมีพากเพียรบำเพ็ญตบะ

6.ขันติบารมี     อดทน อดกลั้นอย่างยิ่ง

7.สัจจบารมี     ถือสัจจะ

8.อธิษฐานบารมี  ตั้งใจมั่นยิ่ง ไม่ยอมถอย

9.เมตตาบารมี   มีเมตตาต่อสรรพสัตว์

10.อุเบกขาบารมี  ทำใจเป็นกลางในสิ่งทั้งปวง

แม้พระเจ้าตากสินมหาราช

แม้พระพุทธยอดฟ้ามหาราช

พระพุทธเลิศหล้านภาลัย

พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ท่านก็คือพระองค์ผู้ทรงเชื่อมั่นด้วยศรัทธาว่าพระองค์คือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี ในชาติสุดท้ายจะได้ตรัสแก่พระปรมาภิเศกสัมโพธิญาณ

ขอให้ไปศึกษาพระราชพงศาวดารดูลึก ๆ ศึกษาพระราชโองการ พระราชดำรัสพระราชจริยาวัตรดูเถิด ท่านล้วนแต่บำเพ็ญบารมี 10 ประการทั้งสิ้น

ท่านมิได้เคยคิดว่าชีวิตของท่าน จะสิ้นสุดลงเมื่อสวรรคตเท่านั้น ท่านเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ชีวิตของพระองค์ท่านยังต้องเวียนว่ายกลับมาเกิดอีกหลายร้อยชาติ ในชาติสุดท้ายท่านจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

ท่านทราบว่าพระพุทธเจ้าในอดีตมีมากมายหลายพระองค์ พระพุทธเจ้าทรงออกพระนามไว้ก็มีอยู่ถึง 28 พระองค์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงสร้างพระพุทธรูปประธานไว้ในโบสถ์วัดอัปสรสวรรค์ถึง 28 องค์   นี่คือพระพุทธศาสนานิกายพระโพธิสัตว์ที่เป็นนิกายสยามวงศ์ มาแต่สมัยกรุงสุโขทัย

พึ่งจะมาจืดจางไปก็สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงปฏิรูปการศึกษาพระปริยัติธรรมในประเทศไทย ทำให้พระพุทธศานิกายพระโพธิสัตว์ของสยามผันแปรไปในหมู่นักศึกษาพระปริยัติธรรม

แต่ในหมู่พระนักปฏิบัติและชาวบ้านทั่วไปยังไม่จืดจาง ยังเชื่อมั่นกันอยู่ในหมู่พุทธศานิกชนทั่วไป

เพราะถ้าถือลัทธิสุญญตา ชีวิตสูญสิ้นไม่มีอะไรเหลือเมื่อตายแล้ว ก็เลิกนับถือพุทธศาสนากันได้ หันไปนับถือลัทธิฮินดูกันดีกว่า เพราะลัทธิฮินดูก็ยังมีสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตสุดท้ายเป็นอมตะ คือไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งเป็นอมตะ

ความจริงพระนิพพานของพุทธศาสนา ก็คือพระอมตมหานิพพาน แปลว่า "พระนิพพานอันเป็นอมตะอย่างยิ่ง" ท่านไม่ว่านิพพานสูญอะไรเลย แปลกันไปอย่างเพ้อเจ้อตามประสาจินตนาการเอาเอง โดยไม่เชื่อคำตรัสของพระบรมศาสดาแท้ ๆ ว่า "พระนิพพานดับไม่เหลือ..."   ผู้เขียนเป็นศิษย์ของหลวงพ่อเงิน จึงเชื่อลัทธินิกายพระโพธิสัตว์

ผู้เขียน เชื่อว่า พระนิพพาน คือ "ว่างจากเบญจขันธ์" คือว่างจากรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, 4 ขันธ์ แต่ยังมีวิญญาณขันธ์ คือว่างจากรูป แต่ไม่ว่างจากนาม ว่างจากสะสาร ไม่ว่างพลังงาน พลังงานยังมีอยู่คู่โลกธาตุนี้.

ผู้เขียนนับถือพระคาถาของหลวงปู่ทวดที่ว่า

"นะโมโพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา"

ผู้เขียนเชื่อพระคาถาของผู้ปรารถนาพระโพธิญาณที่ท่องภาวนาว่า

"นะโมโพธิญาโณ ปณิธานะโต โหตุ สัพพะทา"

ผู้เขียนเชื่อถือพระคาถาของฝ่ายมหายานที่ว่า

"นะโม โพธิสัตโตมหาสัตโต อวะโลกิเตศวร"

ใครนับถือพระพุทธศาสนาลัทธินิกายพระโพธิสัตว์ก็จงท่องภาวนาคาถาข้างบนนี้เถิด

ท่านจะไปเกิดใหม่ เป็นพระโพธิสัตว์ มีชีวิตที่ดีขึ้นด้วยการสั่งสมบารมี ก็จะเกิดภพภูมิที่ดี มีความสุข ไม่ถูกข่มเหงรังแก ให้ได้ความคับแค้น ยากเข็ญในชีวิต

ตามประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) นัน ท่านเล่ากันว่ามีหมอนวดฝีมือดีคนหนึ่งไปนวดท่าน นวด ๆ ไปก็คลำพบว่า กระดูกแขนท่อนล่างของท่านนั้น มีชิ้นเดียว ไม่มีกระดูก 2 ชิ้นคู่เหมือนกระดูกแขนของคนทั่วไป หมอนวดคนนั้นจึงจับขย้ำอยู่นาน จะถามท่านก็ไม่กล้าถาม

สมเด็จท่านจึงถามว่า "เป็นหมอนวดมากี่ปี ?"

"สิบกว่าปีแล้ว !" หมอนวดตอบ

"เคยเห็นคนมีกระดูกแขนชิ้นเดียวมั้ย ?" สมเด็จถาม

"ไม่เคยพบเลย"

"ถ้าพบก็จงรู้เถิดว่า นั่นแหละคือพระโพธิสัตว์มาบำเพ็ญบารมี"

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านก็เชื่อว่าตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง

หลวงพ่อเงินท่านไม่มีรอยข้อพับที่นิ้วมือ นิ้วมือลื่นไปตลอดเหมือนลำเทียน ท่านจึงเชื่อว่าท่านคือพระโพธิสัตว์ อุบัติมาเพื่อบำเพ็ญบารมี เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวง

ข้าพเจ้าเคยเห็นข้อนิ้วมือของหลวงพ่อเงิน ไม่มีรอยพับนิ้วมือเรียบเหมือนลำเทียน.

ตั้งสัตยาธิษฐาน

เมื่อหลวงพ่อสร้างอุโบสถคอนกรีต ราคาล้านเสร็จแล้ว ก็สร้างพระประธาน ประจำอุโบสถ เมื่อสร้างพระประธานเสร็จแล้ว หลวงพ่อก็มารำพึงว่าพระปฏิมากรแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นี้ ก็สร้างให้มาหาชนเคารพบูชาแทนองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงอยากจะได้นิลมาทำพระเนตรของพระประธานสัก 2 ดวง แต่จะได้มาจากไหนเล่า ?

วันหนึ่งหลวงพ่อจึงได้เข้าไปในอุโบสถ จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วหลวงพ่อก็ตั้งสัตยาธิษฐาน เสี่ยงบารมีว่า

"ข้าพุทธเจ้า อุตส่าห์บวชอุทิศชีวิตอยู่ในพระศาสนา ก็ด้วยเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า

ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีที่พึ่งอื่น นอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า

ข้าพเจ้าสร้างอุโบสถขึ้นไว้ เป็นปูชนียสถานในพระพุทธศาสนา

ข้าพเจ้าสร้างพระปฏิมากรไว้สักการบูชาของมหาชน

ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้นิลมาทำพระเนตรของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่เคารพเลื่อมใสของมหาชน

ด้วยสัจจวาจานี้ ถ้าหากบุญวาสนาบารมีของข้าพเจ้ามีอยู่ ถ้าหากอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แห่งพระพุทธานุภาพมีอยู่จริง ขอให้ได้นิลมณีมาทำพระเนตรสมความประสงค์ด้วยเถิด"

3 วันต่อมามีคน 2 คน เดินทางมาจากทางภาคเหนือมาหาหลวงพ่อ นำเอานิลเม็ดโตมา 2 เม็ด เอามาถวายหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจะเอาไวสร้างอะไรก็ตามใจเถิด แล้วเขาก็ลาจากไป

หลวงพ่อจึงได้นิลมณี 2 เม็ด มาทำพระเนตรพระประธานสมความปรารถนา

ครั้นแล้ว หลวงพ่อก็มานั่งพิจารณาพระประธานว่า อุตส่าห์สร้างไว้สวยงามยิ่งนัก นึกอยากได้นิลมณีมาทำพระเนตรก็ได้มาแล้ว ถ้าหากว่าได้พระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธองค์มาบรรจุไว้ในพระเกศด้วย ก็จะเป็นปูชนียวัตถุอันศักดิ์สิทธิ์ น่าเคารพเลื่อมใสอย่างยิ่ง

หลวงพ่อคิดดังนั้นแล้วก็จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็ตั้งจิตเจตนา สัตยาธิษฐานเสี่ยงบุญบารมีอีกครั้งหนึ่ง

รุ่งขึ้นก็มีคนมาหาหลวงพ่อ ขอนิมนต์หลวงพ่อไปดูอุบาสกคนหนึ่งว่าป่วยปวดหัวเข่าทนไม่ไหว ขอให้หลวงพ่อไปช่วยเป่าให้ทีเถิด หลวงพ่อก็ไปที่บ้านอุบาสกคนนั้น ซึ่งเป็นชายชรา อายุ 70 ปีเศษ นอนอยู่ หลวงพ่อจึงเข้าไปดู เห็นหัวเข่าบวมอยู่ จึงไต่ถามอาการ เขาก็บอกหลวงพ่อว่า

เมื่อคืนก่อนเขานอนฝันว่า พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในหัวเข่า ตื่นขึ้นมาก็ปวดเข่ามาก มีอาการบวม ขอให้หลวงพ่อเป่าให้ด้วย

หลวงพ่อถามว่า พระบรมธาตุจากที่ไหนมาเข้าอยู่ในหัวเข่า เขาตอบว่าเขามีพระธาตุบูชาอยู่บนหิ้งในบ้านนี้เอง หลวงพ่อจึงตั้งจิตอธิษฐาน แล้วอ่านโองการเป่าหัวเข่าของเขาให้

ต่อมาอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อก็ไปเยียมอาการป่วยของเขา ด้วยเมตตาจิตตามปกติวิสัย ของหลวงพ่อ

เขาบอกว่า หัวเข่าหายบวมแล้ว หายปวดแล้ว

"พระบรมธาตุคงไม่อยากอยู่กับผมแล้ว ผมขอถวายหลวงพ่อไปด้วย" เขาบอก

แล้วเขาก็ไปเอาพระบรมธาตุมาถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อตรวจดูก็ทราบว่า เป็นพระบรมธาตุแท้ มีลักษณะตามตำราพระบรมสารีริกธาตุ

หลวงพ่อจึงได้พระบรมธาตุนั้นมาบรรจุไว้ในพระเกศของพระพุทธรูปประธานในอุโบสถ สมความปรารถนา

วันหนึ่งพบหลวงพ่อ ผู้เขียนจึงถามหลวงพ่อว่า

"แรงอธิษฐานมีจริงหรือ ?"

"จริง" หลวงพ่อตอบหนักแน่น

"แต่การอธิษฐานนั้น ต้องตั้งมั่นอยู่บนพื้นฐานของความสัตย์ความจริง เป็นพื้นฐานแผ่นศิลาเมื่อเอามีดขีดลงไปย่อมมีรอย ถ้าไม่มีพื้นฐานความจริงรองรับก็เหมือนเอามีดขีดลงไปบนพื้นน้ำย่อมไม่เกิดรอย...."

ความจริงนั้น เรื่องการตั้งสัตยาธิษฐานนี้ เป็นพุทธประเพณีในพระพุทธศาสนาคนไทยนับถือปฏิบัติมาช้านานแล้ว มีเรื่องปรากฏอยู่มากมาย

พระพุทธเจ้า เมื่อก่อนวันตรัสรู้ได้รับข้าวมธุปายาสจากนางสุขาดาใส่ถาดทองมาถวาย พระพุทธองค์ฉันแล้วก็ลอยถาดในแม่น้ำเนรัญชรา ตั้งสัตยาธิษฐานว่า

"ถ้าจะได้ตรัสรู้พระธรรมาภิเศกสัมโพธิญาณ ขอให้ถาดนี้ลอยทวนกระแสน้ำ..."

ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำได้อย่างอัศจรรย์ พระพุทธองค์จึงทรงนั่งประทับใต้ต้นโพธิบัลลังก์ ก็อธิษฐานว่า ถ้ามิได้ตรัสรู้จะไม่ยอมลุกขึ้นจากโพธิบัลลังก์นี้เป็นอันขาด

ครั้นแล้วในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ปีระกา ก็สำเร็จพระโพธิญาณ

พระเจ้าตากก็เสี่ยงบารมีหลายครั้ง ยกทัพขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ฝนแล้ง ก็เสี่ยงบารมีให้ฝนตกจนขอนลอยในป่า เข้าตีเมืองจันท์ก็เสี่ยงบารมีทุบหม้อข้าวหม้อแกงหมด ไปตีเมืองนครก็ตั้งศาลเพียงตาเสี่ยงบารมีเมื่อเกิดพายุใหญ่ จนพายุเงียบสงบ

พระยาสุริยอภัย ก็เสี่ยงบารมีเมื่อเพลิงไหม้ขอให้ลมพัดหอบกลับเมื่อปราบกองทัพพระยาสรรค์บุรี สมัยกรุงธนบุรี ในรัชกาลที่ 1 เป็นกรมพระอนุรักษ์เทเวศ (ทองอินทร์)

แต่ผู้เสี่ยงบารมี จะต้องเชื่อมั่นว่าตนมีบารมีอันได้สั่งสมมา จะต้องอ้างเอาความสัตย์ความจริงมาตั้งลงเป็นฐานก่อนเสมอ ท่านจึงเรียกว่า "สัตยาธิษฐาน" (เอาความสัตย์เป็นฐานอันยิ่ง)

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเสี่ยงพระบารมี เมื่อคราวตั้งธรรมยุตินิกายว่าขอให้พบพระอาจารย์ดีใน 3 วัน 7 วัน

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ก็ทรงเสี่ยงพระบารมีเมื่อผนวชว่าถ้าพระองค์จะได้ทรงผนวช ก็ขอให้สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ หายประชวรเพื่อจะให้พระองค์เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระสังฆราชก็หายประชวร มานั่งเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ สมคำอธิษฐาน.

สมภารพระโพธิสัตว์

อันว่า พระมหากษัตริย์นั้น โบราณท่านถือว่าคือพระโพธิสัตว์มาอุบัติเกิดเพื่อบำเพ็ญพระบารมี กิจการงานในหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ท่านจึงเรียกว่า "พระบรมโพธิสมภาร" แปลว่า "พระผู้มีภาระหน้าที่อยู่อย่างใหญ่หลวง สม่ำเสมอเพื่อตรัสรู้"

พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเจ้าอาวาสท่านก็เรียกกันว่า "สมภาร" แปลว่า "ผู้มีภาระหน้าที่อยู่อย่างสม่ำเสมอ" เหมือนกัน

ยิ่งหลวงพ่อเงินที่ท่านเชื่อว่าตัวท่านคือพระโพธิสัตว์อุบัติมาสร้างบารมีด้วยแล้ว ท่านก็ต้องยอมรับภาระหน้าที่ทุกอย่างที่จะสงเคราะห์ประชาชนชาวบ้านให้พ้นทุกข์

ทุกข์ของชาวบ้านที่มีอยู่เกือบทุกผู้ทุกคนก็คือความป่วยไข้ หลวงพ่อจึงต้องกลายเป็นหมอรักษาโรค รักษาไข้ไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

สมัยก่อน โรงพยาบาล สถานีอนามัย แพทย์แผนปัจจุบันก็ยังไม่มีหมอแผนโบราณชาวบ้านก็ไม่ชำนาญอะไร รักษาก็มักจะเรียกเงินทองด้วย จึงตกเป็นหน้าที่ของสมภารเจ้าวัด ต้องกลายเป็นหมอจำเป็นในชนบทสมัยก่อนโน้น

ถึงแม้ในเวลาต่อมา จะมีโรงพยาบาล มีสถานีอนามัย หลวงพ่อได้เป็นผู้จัดตั้งสถานีอนามัยขึ้นเองในตำบวลดอนยายหอม และเป็นประธานในการหาเงินสร้างโรงพยาบาลจังหวัดนครปฐมในเวลาต่อมา แต่ก็มีโรคบางอย่างที่คนนิยมมาหาหลวงพ่อให้รักษาให้ แม้แต่บุตรของนายแพทย์ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครปฐม คือนายแพทย์เติม วัชรเสถียร เป็นโรคชันตุ มีแผลเป็นพุพองที่ศีรษะ มีน้ำเหลืองไหลเยิ้มเกรอะกรัง หลวงพ่อก็เป่าอาคมรักษาให้ก็หาย

นายช้อย หงวนบุญมาก หลานของหลวงพ่อเป็นโรคผอมแห้ง ซูบซีดไปรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชไม่หาย หลวงพ่อรู้ก็ให้คนไปตามตัวกลับมาสั่งว่าถ้าไม่ยอมกลับให้เตือนว่า

"เรือนตายอยู่ที่วัดดอนยายหอม"

ญาติจึงไปตามตัว เอาลงเรือนกลับมาให้หลวงพ่อรักษา หลวงพ่อก็ต้มยาหม้อให้กินบ้างเสกแป้งปูนมาทาตามตัวบ้าง รักษาอยู่เดือนเศษก็หายเดินได้

รักษาคนบ้า

หลวงพ่อมีเมตตาบารมีสูง มีกระแสจิตเมตตาแรงกล้า หลวงพ่อจึงสามารถ แผ่ความเมตตานี้ทำให้จิตคนที่บ้าดีเดือดมุทะลุดุดัน ให้สงบเยือกเย็นอ่อนโยนลงได้

"ฉันสอนคน ก็สอนด้วยเมตตาจิต ฉันแผ่เมตตาต่อทุกคน กระแสจิตเมตตานั้นเป็นอานุภาพน้อมจิตให้เขาเกิดความภักดีเชื่อถือ..."

หลวงพ่อพูดอย่างนี้ หลวงพ่อไม่ใช่นักพูด หรือนักธรรมที่อธิบายตามทฤษฎีเท่านั้น แต่หลวงพ่อพูดจากการปฏิบัติ

คราวหนึ่งที่วัดห้วยจระเข้ อำเภอเมืองนครปฐม มีภิกษุรูปหนึ่งบันดาลโทสะ เตะเด็กวัดตกกุฏิตายไปคนหนึ่ง พระครูอุดรการบดี เจ้าอาวาสจะจับสึกส่งตำรวจดำเนินคดี แต่พระองค์นั้นไม่ยอมสึก นั่งตาขวาง แสดงอาการบ้าดีเดือด ถืออาวุธจะทำร้ายคนที่จับสึก เผอิญหลวงพ่อเงินไปที่วัดนั้นพอดี พระครูอุดรการบดีจึงเล่าให้ฟัง หลวงพ่อเงินฟังแล้วก็ยิ้ม ๆ พูดว่า ผมจะลองดู แล้วหลวงพ่อเงินก็เดินเข้าไปหาพระผู้นั้นอย่างเรียบร้อยทำท่าเหมือนพระอุปัชฌาย์จะบวชพระ พระบ้าดีเดือดรูปนั้น มองดูหลวงพ่อเฉยอยู่ไม่ทำอะไร หลวงพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า

"ดูก่อน ภิกษุผู้เคยเจริญมาแล้วแต่หนหลัง ฉันทราบเรื่องของเธอดีแล้ว ว่าความจริงเป็นอย่างไร ขอให้เธอจงปลงใจเสียให้ตกว่ามันเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน ตามมาล้างผลาญตัดรอน อย่าได้คิดว่าใครมาสร้างเวรให้แก่เธอ ฉันรู้ว่าเธอเคยตั้งอยู่ในธรรมวินัย ประพฤติพรหมจรรย์มาด้วยความขาวสะอาด แต่วันที่จะเกิดเหตุนั้นเกณฑ์ชะตาของเธอจะหมดวาสนาได้รับใช้พระพุทธศาสนาเพียงแค่นั้น ขอให้ตัดใจรับกรรมไปก่อน ต่อเมื่อสิ้นเคราะห์กรรมแล้ว เกิดมาในชาติใดขอให้ได้เข้าร่วมเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าด้วยกันอีก ลาสิกขาบทเสียเถิดนะ..."

พระภิกษุบ้าดีเดือดรูปนั้น นั่งน้ำตาไหล ก้มศีรษะลงมาหาหลวงพ่อยอมให้หลวงพ่อปลดจีวรของเขาออกแต่โดยดี

ขอให้สังเกตว่า ที่หลวงพ่อชนะใจเขาได้ เพราะเมตตาบารมีและเพราะหลวงพ่อมั่นใจในบารมีของท่านเอง หลวงพ่อต้องมั่นใจใน "ดี" ที่มีอยู่ในตัว มิฉะนั้นหลวงพ่อจะไม่กล้าเข้าไปประกบกับคนบ้าดีเดือดที่มีอาวุธอยู่ในมือได้เลย

บอกคาถานักเลง

วันหนึ่ง มีนักเลงโตชื่อดัง อยู่ตำบลจินดา อำเภอสามพราน มาหาหลวงพ่อ เพื่อหาของดีคุ้มตัว เขาบอกว่า เขามักจะมีเรื่องต้องตีกับนักเลงก๊กอื่น ๆ อยู่เสมอ จึงมาหาหลวงพ่อเพื่อขอของดีไปคุ้มตัว

หลวงพ่อพูดว่า

"เอาคาถาไปใช้ดีกว่าของอย่างอื่น ขอให้จำให้ได้ขึ้นใจ ท่องภาวนาเวลาเกิดเรื่อง"

ชายนักเลงโต ก็ตั้งใจฟัง

หลวงพ่อก็บอกคาถาให้ 3 บท

"อยู่คง" ใช้เวลาเขาตีกัน เราอย่าไปเกี่ยว ให้คงที่ไว้

"ยิงไม่ออก" ใช้เวลาเขาจะยิงกัน เราไม่ออกไป

"ฟันไม่เข้า" ใช้เวลาเขาฟันกัน เราไม่เข้าไป

"ฉันรับรองว่าปลอดภัย ถ้าท่องจำได้ขึ้นใจ และปฏิบัติตามได้...."

ชายผู้นั้น จะผิดหวังหรือไม่ก็ไม่ทราบ เมื่อเขาลาจากหลวงพ่อไปในคราวนั้น

แต่อยู่ต่อมา เขาก็มาหาหลวงพ่ออีกหนหนึ่ง เข้ามากราบลงที่เท้าหลวงพ่อ เขาเล่าว่าเมื่อสองสามวันมานี้ทางบ้านมีงานบวชนาค กินเหล้ากันแล้วก็เกิดเรื่องตีกันขึ้นเขานิ่งอยู่ นึกถึงคาถาหลวงพ่อขึ้นมาได้ว่า "อยู่คง-ยิงไม่ออก-ฟัน" จึงหยุดอยู่ พรรคพวกถูกตำรวจจับไปหมด แต่เขารอดตัว จึงคิดว่าคาถาหลวงพ่อนี้ขลังจริง ๆ

ปริศนายาฝิ่น

มีชายชาวตำบลแขมคนหนึ่ง มาหาหลวงพ่อเพื่อจะขอของดี เขาพูดกับหลวงพ่อว่า คนตำบลดอนยายหอมนี้ดี บ้านเรือนเป็นปึกแผ่น ทำมาหากินได้ร่ำรวย แต่คนบางแขมยากจนไม่ค่อยมีหลักฐาน เห็นจะเป็นด้วยตำบลบางแขม ไม่มีพระของหลวงพ่อบูชา

หลวงพ่อฟังแล้วก็ตอบว่า

"เอ้อ-โยมเอ๋ย ฉันก็สงสารคนตำบลบางแขมอยู่เหมือนกัน เพราะคนดี ๆ หายากมีแต่คนป่วยไข้ทั้งตำบล คนป่วยไข้จะทำมาหากินไม่ได้เหมือนเขา คนตำบลดอนยายหอมเขามีแต่คนดีไม่มีคนป่วยไม่เปลืองค่าหยูกยา มีแต่คนทำมาหากินจึงร่ำรวย..."

ชายผู้นั้นงง แล้วก็ถามว่า

"เอ-ผมไม่เห็นใครป่วยไข้ที่ไหน หลวงพ่อไปเอาที่ไหนมาพูดว่าเขาป่วยไข้กันทั้งตำบล ?"

หลวงพ่อหัวเราะ แล้วบอกว่า

"อ้าว-ไม่รู้หรือ ฉันเห็น เขากินยาทั้งตำบล ก็คิดว่าเขาป่วยไข้กัน ไม่ป่วยไม่ไข้ แล้วจะไปเข้ากินยาฝิ่นกันทำไมเล่าโยม..."

ปริศนาธรรม

วันหนึ่งมีชายเจ้าปัญหามาหาหลวงพ่อ เอาปริศนามาถามหลวงพ่อว่า

"สี่ น.หาม สาม น.แห่

.หนึ่งนั่งแคร่ สอง น.นำทาง

หมายความว่าอะไร ?"

หลวงพ่อฟังจบแล้วก็ตอบว่า

"สี่ น.หามได้แก่ ร่างกายของคนเรา ประกอบไปด้วย ธาตุทั้ง 4 คือดิน น้ำ ลม ไฟ"

"สาม น.แห่ ได้แก่ แก่ เจ็บ ตาย คือ แห่ร่างกายไปสู่ป่าช้า"

".หนึ่งนั่งแคร่ ได้แก่ "จิตใจ" ของคนที่อยู่ในร่างกาย"

"สอง น. นำทาง ได้แก่ บุญ กับบาป ใครทำบุญไว้ บุญก็จะนำไปสู่สุคติ สวรรค์ นิพพาน ใครทำบาปไว้ บาปก็จะนำไปสู่ทุคติ คือ นรก เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน..."

ชายคนนั้น ได้ฟัง ก็หายเป็นคนเจ้าปัญหา มีความสลดใจในธรรมะที่หลวงพ่อสอนเขา โดยเอาปัญหาที่เขานำมาถามกลับย้อนสอนเขาเสียเลย.

ปริศนาเรื่องปลาโง่

วันหนึ่ง ..ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับคณะ พร้อมด้วย นางนันทา บุญยประภัศร์ ได้พานักเรียนไปนมัสการหลวงพ่อที่วัด

มีคน ๆ หนึ่งในคณะนี้ได้ถามปัญหาหลวงพ่อว่า

"ปลาเป็นสัตว์มีชีวิต ศีลห้าก็ห้ามฆ่าสัตว์ แต่คนจับปลามาทำอาหาร ถวายหลวงพ่อ หลวงพ่อฉันเนื้อปลารู้สึกอย่างไร ?"

หลวงพ่อยิ้ม ๆ ตอบว่า

"เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไร เพราะฉันเนื้อปลา ก็เพราะคนเขาเอามาถวาย พระก็ต้องอาศัยอาหารชาวบ้านยังชีพ มันเป็นอาหารยังชีพ ก็ฉันไปเพื่อมีชีวิตอยู่ทำประโยชน์ให้แก่โลก"

หลวงพ่อเห็นเขานิ่งเงียบอยู่จึงถามว่า

"ปลากับคนนี่ใครจะโง่กว่ากัน ?"

"ปลาโง่กว่าคน เพราะถูกคนจับมากินเป็นอาหาร"

หลวงพ่อหัวเราะน้อยๆ แล้วพูดว่า

"คนที่โง่กว่าปลานะ" หลวงพ่อว่า "ปลามันถูกคนหลอก เอาลอบ เอาเบ็ด ไปจับมันมา เพราะมันถูกหลอก แต่โยมลองไปยืนดูหน้าคุกซี ไม่มีใครหลอกเอาลอบ เอาไซ เอาเบ็ด ไปล่อไว้เลย ประตูคุกปิดตาย แต่ก็มีคนเดินเข้าคุกวันละหลาย ๆ คน"

ทุกคนได้ฟังก็พากันหัวเราะชอบใจ ในถ้อยคำของหลวงพ่อ

แล้วคนเจ้าปัญหาคนนั้นก็นิ่งเงียบไป

ปริศนาเฝือกสาม

ครั้งหนึ่ง ผู้บัญชาการเรือนจำ ได้นิมนต์หลวงพ่อไปเทศน์ให้นักโทษฟัง หลวงพ่อก็เทศน์ เรื่องเฝือกสามให้คนโทษฟังเป็นใจความว่า

"กิจโฏ มนุสสปฏิลาโภ = การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ นับว่าเป็นลาภอันหาได้ยากยิ่ง

กิจฉัง มัจจานะชีวิตัง = การมีชีวิตรอดจากความตายมาได้นี้ก็แสนยาก

ท่านทั้งหลายทั้งหมดนี้ นับว่าโชคดีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วก็มีชีวิตรอดตายมาได้ จนป่านนี้ ก็นับว่าเป็นโชคอันประเสริฐแล้ว

แต่การที่พวกท่านต้องเข้ามาเป็นนักโทษอยู่ในเรือนจำนี้ อาจเป็นเพราะกรรมเก่าติดตามมาเบียดเบียน ตัดรอนล้างผลาญ จึงต้องเข้ามาติดเฝือก ติดลอบ ติดไซ ให้ท่านไว้ในข้องนี้ เหมือนปลาที่ว่ายเข้ามาติดเฝือก ให้เขาจับได้เอามาขังไว้

เฝือกในโลกนี้มีอยู่ 3 เฝือก

เฝือกหนึ่งคือ เฝือกความโลภ เพราะโลภอยากได้ของเขา จึงต้องติดเฝือก

เฝือกสองคือ เฝือกความโกรธ ไม่มีขันติ ความอดทน ไปตีรันฟันแทงเขา จึงต้องติดเฝือก

เฝือกสามคือ เฝือกความหลง หลงว่าทำดีแล้ว แต่ที่จริงมันไม่ดี จึงต้องติดเฝือก

จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตัดเฝือกทั้ง 3 เสีย เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาบังคับจิตใจ ในระหว่างนี้ขอให้ต้องอดทนสงบใจต่อสู้ไปจนกว่าจะพ้นโทษออกไปเป็นอิสระ อยู่ในโลกอันกว้างขวางต่อไป"

หลวงพ่อเทศน์ด้วยภาษาง่าย ๆ เปรียบเทียบให้เห็นไม่ต้องใช้สำนวนโวหารอะไรแต่ก็เป็นที่เข้าใจซาบซึ้งแก่คนฟัง แม้ระดับนักโทษที่มีหัวใจมืดมนก็มองเห็นแสงสว่างได้



ประวัติเกจิอาจารย์ดัง: หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
»อภินิหารหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
02-04-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๖
14-03-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๕
14-03-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๔
14-03-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๓
14-03-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ตอน ๒
14-03-2010
»หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ
02-04-2010
»ชีวประวัติหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม
14-03-2010
 
------------------------
  หน้าหลัก  
  คำถามที่มีการถามบ่อย  
  เราเล่นพระทำไม ?  
  กฎหมายพระเครื่อง  
  เกร็ดเล็ก-เกร็ดน้อย  
  สมัครเปิดร้านค้า  
  การชำระเงินค่าร้านค้า  
  ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง  
  ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับร้านค้า  
 
หน้าหลัก  อดีตสู่ปัจจุบัน  เว็บบอร์ดชมรม  ตารางประกวดพระ  สาระน่ารู้  เล่าสู่กันฟัง  ติดต่อเรา
Copyright©2024 zoonphra.com
Powered by Tactical IT