เว็บลิ้งค์ชมรมต่างๆ

เว็บไซต์วัดเกจิดังในสยาม
วัดอัมพวัน จ. สิงห์บุรี
วัดหนองป่าพง จ. อุบลฯ
วัดเขาแหลม จ. สระแก้ว
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม
วัดหัวป่า อ. ระโนด จ. สงขลา
วัดแก้วโกรวาราม จ. กระบี่
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล
หลวงสมชาย วัดเขาสุกิม
ป้อนหมายเลขสิ่งของ


***พิมพ์หมายเลขสิ่งของจำนวน 13 หลัก

รายละเอียดเพิ่มเติม

  หน้าหลัก  :  อดีตสู่ปัจจุบัน  :  เว็บบอร์ดชมรม  :  ตารางประกวดพระ  :  สาระน่ารู้  :  เล่าสู่กันฟัง  :  ติดต่อเรา
พระเครื่องเมืองใต้: ทำบุญไหว้พระ
วันเข้าพรรษา
11-03-2010 Views: 6008
 

ช่วงอธิษฐานจิต “ทำดี ละชั่ว”

วันเข้าพรรษาวันเข้าพรรษา หมายถึง วันที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาอธิษฐานอยู่ประจำที่ ไม่จาริกไปค้างแรมตามสถานที่ต่างๆ เว้นแต่มีกิจจำเป็น เป็นระยะเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน คือตั้งแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ ซึ่งวันเข้าพรรษาปีนี้ ตรงกับวันที่ ๑๘ กรกฏาคม ๒๕๕๑

โดยทั่วไปการจำพรรรษา หรือ การอธิษฐานอยู่ประจำที่เป็นเวลา ๓ เดือน จะมี ๒ ระยะ คือ

๑.“ปุริมพรรษา” หรือ “เข้าพรรษาแรก” นับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ (วันออกพรรษา) แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือมีเดือน ๘ สองหน ก็จะเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ หลัง

๒. “ปัจฉิมพรรษา” หรือ “เข้าพรรษาหลัง” จะเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๙ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒


ในประเทศไทย พระภิกษุส่วนใหญ่จะจำพรรษาในช่วงปุริมพรรษาหรือพรรษาแรกมากกว่าปัจฉิมพรรษาหรือพรรษาหลัง ยกเว้นพระภิกษุที่อาพาธ(ป่วย)หรือมีกิจจำเป็นจึงจะอธิษฐานจำพรรษาในช่วงปัจฉิมพรรษา ส่วนการที่มีเดือนแปดสองหน หรือปีอธิกมาส ก็เพราะเป็นการนับทางจันทรคติ(วันขึ้น วันแรม)ซึ่งแต่ละปีจะมีจำนวนวันน้อยกว่าการนับทางสุริยคติ(การนับวันตามแบบปัจจุบัน) ทำให้ต้องเพิ่มเดือนในบางปีเพื่อชดเชยจำนวนวันที่หายไป มิให้ปีทางจันทรคติและสุริยคติคลาดเคลื่อนกันไปมากความเป็นมาของวันเข้าพรรษาเกิดขึ้น


วันเข้าพรรษา เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พอถึงฤดูฝนพระภิกษุส่วนใหญ่ก็อยู่ประจำที่เช่นเดียวกับนักบวชนอกพุทธศาสนาที่มักถือเป็นประเพณีปฏิบัติอยู่จำพรรษามาตั้งแต่ก่อนพุทธกาล ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มฉัพพัคคีย์พาบริวารจำนวน ๑,๕๐๐ รูปเที่ยวจาริกไปตามที่ต่างๆ เนื่องจากตอนต้นพุทธกาลยังไม่มีพุทธานุญาตให้ภิกษุอยู่จำพรรษา ทำให้ชาวบ้านพากันติเตียนถึงการจาริกของท่านเพราะไปเหยียบข้าวกล้าในนาเสียหาย เมื่อรู้ไปถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์ ตรัสถามจนได้ความจริง แล้วทรงบัญญัติให้พระภิกษุอยู่จำพรรษา เป็นเวลา ๓ เดือนในฤดูฝน

อย่างไรก็ดี หนังสือ “วันเข้าพรรษา” ที่จัดพิมพ์โดย สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ได้กล่าวไว้ว่า ในกรณีที่มีกิจจำเป็น พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอนุญาตให้พระภิกษุไปค้างคืนที่อื่นได้คราวละไม่เกิน ๗ วัน โดยไม่ถือว่าอาบัติ เรียกว่าเป็นเหตุพิเศษหรือ “สัตตาหกรณียกิจ” ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการคือ

๑.เพื่อนสหธรรมิก (ผู้มีธรรมร่วมกัน) ทั้ง ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขามานา(นางผู้กำลังศึกษา /สามเณรีผู้มีอายุ ๑๘ปีและอีก ๒ ปีจะครบบวชเป็นภิกษุณี) สามเณร สามเณรี หรือบิดามารดาป่วยไปเพื่อพยาบาลได้

๒.ไปเพื่อยับยั้งเพื่อนสหธรรมิกที่อยากสึก มิให้สึกได้

๓.ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น หาอุปกรณ์ซ่อมกุฏิ วิหารที่ชำรุดทรุดโทรมได้

๔.ไปเพื่อฉลองศรัทธาทายกที่เขาส่งตัวแทนมานิมนต์ไปร่วมบำเพ็ญบุญได้

วันเข้าพรรษานอกจากนั้น
ยังยกเว้นสำหรับพระภิกษุที่ประสบเหตุดังต่อไปนี้ แม้จะเป็นระหว่างพรรษาก็สามารถหลีกไปที่อื่นได้โดยไม่อาบัติ แต่ขาดพรรษา คือ ถูกสัตว์ร้ายรบกวนหรือเบียดเบียน ถูกงูรบกวนหรือขบกัด ถูกโจรเบียดเบียนหรือปล้น ทุบตี ถูกปีศาจรบกวน เข้าสิงหรือฆ่า ชาวบ้านที่ให้ความอุปถัมภ์ไม่สามารถอุปถัมภ์ได้ต่อไปเพราะย้ายถิ่น ฐานไปที่อื่น หรือเสนาสนะของภิกษุถูกไฟไหม้น้ำท่วม หรือมีผู้จะพยายามทำร้าย พระภิกษุสามารถหลีกไปอยู่ที่อื่นระหว่างพรรษาได้

วันเข้าพรรษานอกจากจะเป็นช่วงที่พระภิกษุอยู่ประจำที่ดังกล่าวแล้ว ยังก่อให้เกิดประเพณีสำคัญขึ้นอีก ๒ ประเพณีคือ ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน และประเพณีแห่เทียนพรรษา ประเพณีถวายผ้าอาบน้ำฝน เกิดขึ้นโดยมีเรื่องเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งนางวิสาขา มหาอุบาสิกาต้องการจะนิมนต์พระภิกษุไปฉันภัตตาหารที่บ้าน

จึงให้หญิงรับใช้ไปพระวิหารเชตวันเพื่อนิมนต์พระ ปรากฏว่านางไปเห็นพระภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝนอยู่ ก็กลับมารายงานด้วยความเข้าใจผิดว่าไม่พบพระ เห็นแต่พวกชีเปลือย นางวิสาขาก็รู้ด้วยปัญญาว่าคงเป็นพระอาบน้ำฝนอยู่ ดังนั้น นางจึงได้ทูลขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอถวายผ้าอาบน้ำฝนแด่พระภิกษุและภิกษุณีเป็นประจำแต่นั้นมา จึงเกิดเป็นประเพณีที่ชาวพุทธปฏิบัติสืบต่อมาจนทุกวันนี้ และกล่าวกันว่า ผู้ที่ถวายผ้าอาบน้ำฝนจะได้รับอานิสงส์เหมือนการถวายผ้าอื่นๆตามนัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ คือ ทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณผ่องใส สวยงาม ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ มีความสะอาดผ่องใสทั้งกายและใจ


วันเข้าพรรษาส่วนประเพณีแห่เทียนพรรษา
เกิดจากความจำเป็นที่ว่าสมัยก่อนยังไม่มีไฟฟ้าใช้เช่นปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อพระภิกษุอยู่รวมกันมากๆเพื่อปฏิบัติกิจวัตร เช่น การสวดมนต์ตอนเช้ามืดและพลบค่ำ การศึกษาพระปริยัติธรรม การบูชาพระรัตนตรัย ฯลฯ จำเป็นต้องใช้แสงสว่างจากเทียน ดังนั้น ชาวบ้านจึงได้ร่วมกันนำเทียนมาถวาย ซึ่งช่วงต้นก็คงจะถวายเป็นเทียนเล็กๆธรรมดา ครั้นต่อมาก็ได้มีการมัดเทียนเล็กๆมารวมกันเป็นต้น คล้ายต้นกล้วยหรือลำไม้ไผ่ แล้วติดกับฐาน ที่เรียกกันว่า ต้นเทียน หรือ ต้นเทียนพรรษา และก็วิวัฒนาการมาเรื่อยๆจนเป็นเทียนพรรษาอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน


กล่าวกันว่า เทียนพรรษา เริ่มมาจากผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งนับถือวัว ที่เป็นพาหนะของพระอิศวร เมื่อวัวตาย ก็จะเอาไขจากวัวมาทำเป็นน้ำมันเพื่อจุดบูชาพระเป็นเจ้าที่ตนเคารพ แต่ชาวพุทธจะทำเทียนเพื่อบูชาพระรัตนตรัย โดยเอามาจากรังผึ้งร้าง ต้มเอาขี้ผึ้งมาฟั่นเป็นเทียนเล็กๆเพื่อจุดบูชาพระ และได้ยึดเป็นประเพณีที่จะนำเทียนไปถวายพระภิกษุในช่วงเข้าพรรรษา เพื่อปรารถนาให้ตนเองมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดดุจดังแสงสว่างของดวงเทียน

อนึ่ง การที่พระภิกษุจำนวนมากอยู่จำพรรษาถึง ๓ เดือนนี้ นับเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติธรรมกับพระเถระที่เป็นอุปัชาย์อาจารย์อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้ไปบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร รักษาศีล สวดมนต์ ฟังธรรม เจริญภาวนา ตลอดจนไปศึกษาหาความรู้กับพระภิกษุ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นประเพณีนิยมที่จะให้ลูกหลานไปบวชเรียนในช่วงเข้าพรรษา เพื่อให้ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ และได้ฝึกฝนตนเอง

สำหรับปัจจุบัน ได้มีพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยที่ถือเอาวันเข้าพรรษาเป็นวันสำรวจพฤติกรรมของตนที่ผ่านมา และตั้งจิตอธิษฐานที่จะลด ละ เลิกสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ เช่น เลิกเหล้า อดบุหรี่ การพูดจาหยาบคาย ฯลฯ ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา ๓ เดือน โดยใช้วันนี้เป็นวันเริ่มต้นในการกระทำดี ซึ่งก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอสำหรับความตั้งใจสร้างเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้น อันมีอานิสงส์ทำให้ตนเอง ครอบครัวและสังคมเกิดความสุข สงบร่มเย็น



พระเครื่องเมืองใต้: ทำบุญไหว้พระ
»พระมหาเจดีย์ชัยมงคล จังหวัดร้อยเอ็ด
23-04-2010
»พระธาตุเชิงชุม
14-04-2010
»พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน
14-04-2010
»พระธาตุไชยา
14-04-2010
»พระบรมธาตุดอยสุเทพ
14-04-2010
»พระธาตุบังพวน
14-04-2010
»พระธาตุนารายณ์เจงเวง
14-04-2010
»ประวัติพระธาตุดอยตุง
14-04-2010
»วัดพระธาตุลําปางหลวง
14-04-2010
»พระธาตุแช่แห้ง จ. น่าน
13-04-2010
»วัดพระธาตุช่อแฮ
11-04-2010
»ตำนานพระธาตุขามแก่น วัดเจติยภูมิ ตำบลบ้ายขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
13-04-2010
»ประวัติ หลวงพ่อพระใส วัดโพธิ์ชัย
21-03-2010
»เบิ่งนครพนมไหว้พระธาตุประจำวันเกิด
14-03-2010
»นมัสการพระธาตุศรีคุณ พระธาตุประจำวันเกิดของคนเกิดวันอังคาร
14-03-2010
»พระบรมธาตุนครชุม
12-03-2010
»ประวัติพระบรมธาตุ และ วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช
11-03-2010
»พระธาตุนาดูน
11-03-2010
»พระธาตุศรีสองรัก
11-03-2010
»ไหว้พระธาตุเรณู
13-03-2010
»ล่องใต้ ไปแล ‘เมืองลิกอร์’ ณ นครศรีธรรมราช
11-03-2010
»รับขวัญปีใหม่ ไหว้พระงามเมืองบางกอก
11-03-2010
»สืบสานศาสนา นมัสการองค์พระธาตุพนม
14-03-2010
»หลงเสน่ห์ "เมืองแปดริ้ว"
11-03-2010
»ขอพรความรัก จากเทพตรีมูรติ
11-03-2010
»พาเที่ยว ขอพร 9 วัด
11-03-2010
»วันเข้าพรรษา
11-03-2010
»ภาพความงดงามของวัดร่องขุ่น
11-03-2010
»ไหว้พระ ทำบุญ สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ “9 มหามงคลมรดกโลก”
11-03-2010
»ไหว้พระ 15 วัดทั่วกรุง
11-03-2010
 
------------------------
  หน้าหลัก  
  คำถามที่มีการถามบ่อย  
  เราเล่นพระทำไม ?  
  กฎหมายพระเครื่อง  
  เกร็ดเล็ก-เกร็ดน้อย  
  สมัครเปิดร้านค้า  
  การชำระเงินค่าร้านค้า  
  ความรู้เกี่ยวกับพระเครื่อง  
  ข้อมูลสถิติเกี่ยวกับร้านค้า  
 
หน้าหลัก  อดีตสู่ปัจจุบัน  เว็บบอร์ดชมรม  ตารางประกวดพระ  สาระน่ารู้  เล่าสู่กันฟัง  ติดต่อเรา
Copyright©2024 zoonphra.com
Powered by Tactical IT